เป็นอันว่า คดีในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ จบลงที่โทษจำคุก 20 ปี
1. เมื่อวานนี้ ศาลเบิกตัวอดีตพระเณรคำ ออกมาจากเรือนจำ เพื่อมาฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ กรณีจำเลยขอถอนอุทธรณ์และให้คำพิพากษาเป็นไปตามศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์
นั่นก็หมายความว่า คดีนี้ จบตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำคุก 20 ปี
สำหรับคดีในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
หลังจากนั้น อดีตพระเณรคำก็ถูกคุมตัวกลับไปรับโทษต่อในเรือนจำ
2. กว่าอดีตพระเณรคำจะถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย
เหาะเหินเดินอากาศ หนีหมายจับไปลอยนวลอยู่ต่างประเทศ
ทางการไทย ต้องไปต่อสู้คดีส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากสหรัฐอเมริกาอยู่นานสองนาน
กระทั่งได้ตัวมาเมื่อปี 2560
3. อดีตพระเณรคำถูกฟ้องดำเนินคดีหลายข้อหา ได้แก่ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, พ.ร.บ.
ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
สืบเนื่องจากพฤติการณ์ช่วงปี 2552-2556
อาศัยความเป็นพระภิกษุ และศรัทธาของประชาชน ในฐานะประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ หลอกลวงว่าตนนิมิต (ฝัน) พบองค์อินทร์ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระ โดยใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี, สร้างเครื่องทรงพระแก้ว 3 ฤดูด้วยทองคำแท้, ก่อสร้าง เสาวิหารแก้ว 199 ต้น ต้นละ 3 แสนบาท, รูปหล่อพระทองคำ (รูปเหมือนจำเลย) ก่อสร้าง วิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าขันติธรรม สาขา 1 จ.อุบลราชธานี, สร้างวัดที่ จ.สุพรรณบุรี รวมทั้งการจัดซื้อเรือจากสหรัฐ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจำเลยประกาศชักชวนให้ประชาชน นำเงิน ทองคำ และทรัพย์สินมาบริจาคกับจำเลย ที่วัดป่าฯ โดยจัดตู้บริจาค 8 ตู้
ใช้เว็บไซต์และเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ ชาวบ้านที่เป็นผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เข้าร่วมบริจาคเงินและทรัพย์สินต่างๆ กว่า 28 ล้านบาท แล้วยังได้ผ่องถ่ายเงินที่ได้มาไปซื้อรถยนต์ ทรัพย์สิน ใช้จ่ายโดยทุจริต โดยที่มิได้ก่อสร้างอะไรตามที่ชักจูงประชาชนเลย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561
ศาลชี้ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการอ้างเท็จเพื่อให้ได้ทรัพย์สินจากบุคคลและผู้เสียหาย ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน และภายหลังจำเลยได้นำเงินบริจาคไปใช้จ่ายเกินความจำเป็นกับความเป็นสงฆ์ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ในการทำบุญ อ้างเป็นทรัพย์สินส่วนตัวมิได้ เข้าข่ายแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 29 กระทง กระทงละ 3 ปี รวม 87 ปี, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) เป็นเวลา 3 ปี และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1) (2) ,60 รวม 12 กระทง กระทงละ 2 ปี เป็นเวลา 24 ปี
รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี
แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) เป็นจำคุก 20 ปี พร้อมชดใช้เงินให้ผู้เสียหายตามความเป็นจริง 29 ราย
บทจบสุดท้ายของคดีนี้ คือตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนี่เอง
4. ส่วนคดีที่ ปปง.ยึดทรัพย์อดีตเณรคำและพวกไว้ และขอให้ศาลยึดเป็นของแผ่นดิน
ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่านายวิรพลและผู้คัดค้าน ไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์ได้ ขณะที่นายวิรพล บวชเป็นพระ มีรายได้จากประชาชนที่มาทำบุญ ไม่ได้มีรายได้จากแหล่งอื่น จึงเชื่อว่าทรัพย์สิน 27 รายการ อาทิ ที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง, รถหรูปอร์เช่, รถจักรยานยนต์ และทรัพย์อื่น เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จึงให้ทรัพย์สินทั้ง 27 รายการ มูลค่ารวมกว่า 43 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน
5. นอกจากนี้ อัยการยังส่งฟ้องอดีตพระเณรคำ คดีความผิดทางเพศ ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีฯ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และมาตรา 317 วรรคสามอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี
พฤติการณ์ตามฟ้องระบุว่า ช่วงปี 2543-2544 ได้พราก ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากผู้ปกครอง แล้วนำตัว ด.ญ.เอ ไปอนาจารกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่
ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2561 ลงโทษจำคุก 16 ปี
6. สรุปรวมโทษจำคุก สองคดีรวมกัน เท่ากับว่า อดีตพระเณรคำต้องโทษจำคุกรวม 36 ปี
ยังต้องรับโทษอีกยาวนานในเรือนจำ
7. กรณีของอดีตพระเณรคำ ทำให้นึกเปรียบเทียบกับกรณีของอดีตพระชื่อดังอีกคน
ที่มีอิทธิฤทธิ์ มีคนเชื่อถือศรัทธา มากกว่าเณรคำ
ขณะนี้ ยังล่องหน หายหัวไปอยู่ไหน ทางการไทยไม่สามารถติดตามจับกุมได้
นั่นคือ “ธัมมชโย”
ธัมมชโยถูกดำเนินคดีในข้อหาอาญา ฐานฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน รับของโจร
พฤติกรรมอวดอ้างอภินิหารไม่น้อยไปกว่าอดีตพระเณรคำ
ไปนรกไปสวรรค์ ระดมเงินจากประชาชนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า
มีการผ่องถ่ายเงินออกไปไหนต่อไหน มากมายหลายแขนงยิ่งกว่า
ไม่มีใครรู้ว่า ธัมมชโยถือครองทรัพย์สินมหาศาลแค่ไหน ทั้งในชื่อของตน และในชื่อของบุคคลอื่น
แต่ไม่มีการดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชนแก่ธัมมชโย?
ปัจจุบัน คดีที่มีอยู่ ก็ยังไม่ปรากฏความคืบหน้า ทั้งคดีฟอกเงิน(ในส่วนของธัมมชโย) และยังมีคดีที่เกี่ยวกับการติดตามยึดทรัพย์สินในเครือข่าย ทั้งๆ ที่เจ้าตัวถูกถอดสมณศักดิ์ไปแล้ว
เณรคำจบที่คุกแล้ว แต่ธัมมชโยจะจบที่ไหน?
กฎหมาย หรือกฎแห่งกรรม จะจัดการได้ก่อนกัน?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี