รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 2 ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวลา 17.00 น. ของวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 คสช. และอำนาจตามมาตรา 44 รวมทั้งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยที่ คสช. ตั้งขึ้น รวมทั้งคณะรัฐมนตรีชุดเก่าเป็นอันสิ้นสุดลง
บรรดาการใช้อำนาจของ คสช. ที่ผ่านมา แม้รัฐธรรมนูญให้มีผลทั้งทางนิติบัญญัติและทางบริหารก็ยังคงมีผลต่อไป เว้นแต่ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว หรือจนกว่าจะถูกเปลี่ยนแปลง
สำหรับอำนาจในการเรียกบุคคลมาปรับทัศนคติและควบคุมตัวตามมาตรา 44 ที่ได้โอนไปให้แก่ กอ.รมน. นั้น ยังมีปัญหาสับสนกันว่าจะยังคงดำเนินการได้เหมือนเดิมหรือว่าไม่ได้ เพราะรองนายกรัฐมนตรีก็ว่าไปทางหนึ่ง และเลขานุการ กอ.รมน. ก็ว่าไปอีกทางหนึ่ง
ก็ต้องบอกว่าคำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าวนั้นมีผลในทางนิติบัญญัติ ดังนั้นเมื่อ คสช. สิ้นสุดลง อำนาจดังกล่าวนี้แม้ยังคงอยู่และโอนไปสู่ กอ.รมน. แต่การปฏิบัติก็ไม่อาจปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้ง คสช. ยังอยู่ ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรงตามมาตรา 44
ดังนั้นอำนาจที่โอนไปยัง กอ.รมน. จึงอยู่ภายใต้ความจำกัดสองสถาน คือตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลัก คือกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการเรียกการตรวจค้น การจับกุม และการควบคุมตัวสถานหนึ่ง และอำนาจของ กอ.รมน.อีกสถานหนึ่ง เหตุนี้แม้จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่ก็ต้องปฏิบัติโดยนัยแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งดังกล่าวหลังจากสิ้น คสช. แล้ว ซึ่งต้องคอยติดตามดูกันต่อไป
หลังจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ได้ประชุมเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาช่วงค่ำ เป็นการเรียกประชุมในฤกษ์ผานาทีที่เรียกว่าเป็นโจโรฤกษ์ และเป็นวันเวลาที่พระอาทิตย์โคจรเข้าราศีกรกฎอันเป็นธาตุน้ำ เป็นลักษณะไฟตกน้ำ ซึ่งจะเป็นประการใดต่อไปก็น่าจับตาติดตามดู
การเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกโดยเร่งด่วนเช่นนี้มีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาว่าทางรัฐบาลต้องการจะเดินหน้าการบริหารบ้านเมืองให้เร็วที่สุด ไม่ต้องมีเวลาฮันนีมูน ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ต้องเรียกว่ายังมีคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพและความมั่นคง ทั้งในกิจการสภา ในกิจการรัฐบาล และกิจการด้านมวลชน รวมทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมาถึง
และจากการประมวลข่าวสารในรอบระยะเวลาที่ผ่านมาก็สามารถสรุปได้ว่าในห้วงเวลาสมัยประชุมแรกของรัฐสภา รัฐบาลประยุทธ์ 2 อาจต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่แหลมคมในรัฐสภาและนอกรัฐสภาดังต่อไปนี้
ประการแรก การอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับการเสนอนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ก็มีข่าวว่าจะมีการอภิปรายกันถึง 3 วัน 3 คืน ซึ่งไม่ได้ผิดแปลกไปจากแบบแผนแต่ก่อนมา เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำกันมาอย่างนี้ ดังนั้นจึงมีการจับตาการอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่าจะเป็นประการใด เพราะแน่นอนว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคนเป็นคนหน้าเดิมและมีข่าวคราวหลายเรื่องที่อยู่ในความสงสัยในเชิงนโยบาย พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงอาจอภิปรายได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
ประการที่สอง การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ รวมทั้งการอภิปรายนายกรัฐมนตรีโดยตรงด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยประชุมแรก และเป็นที่จับตามองว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคนที่สังคมได้ตั้งข้อสังเกตจะถูกอภิปรายอย่างไร จะมีการนำเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาอภิปรายกันในสภาให้ประชาชนได้รู้เห็นกันทั้งประเทศหรือไม่อย่างไร
ประการที่สาม การอภิปรายงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งต้องถือว่าเป็นกฎหมายใหญ่และเป็นเรื่องที่มีการอภิปรายใหญ่ตามธรรมเนียมของรัฐสภา โดยจะอภิปรายว่ากล่าวกันเป็นรายกระทรวง รายโครงการ รวมทั้งเรื่องราวที่อาจเกิดความเสียหายและเกิดความเสียหายแก่งบประมาณแผ่นดินและการเงินการคลังของประเทศด้วย
ประการที่สี่ กรณีเกี่ยวกับการขอถอดถอนและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมทั้งเรื่องการขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ สส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลร่วมร้อยคน ซึ่งยังไม่รวมถึง สว. อีกประมาณ 30 คน และยังไม่รู้ว่าจะมีเพิ่มอีกกี่คน
ประการที่ห้า การเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นที่กำลังจะเปลี่ยนสภาพเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง แทนที่จะเป็นเรื่องของนักการเมืองท้องถิ่นเหมือนในอดีต ซึ่งนี่ก็ต้องถือว่าเป็นรุ่งอรุณอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่หากเชื่อมต่อกับเรื่อง popular vote ซึ่งประสบความสำเร็จในการเอามาแฝงไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นครั้งแรกแล้ว อนาคตของประเทศชาติก็น่าห่วงใยอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าขบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงเกาะติดกับอำนาจที่อาจขยับขยายผลของรัฐธรรมนูญไปสู่ขั้นใหม่อีกขั้นหนึ่ง
การเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและจะบ่งบอกโฉมหน้าประเทศไทยที่น่าระทึกใจอย่างยิ่ง
ประการที่หก ความขัดแย้งและความแตกแยกแตกสามัคคี ที่มีความรุนแรงและส่อว่าจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้น ดังเช่นการผลักไสประชาชน 8-9 ล้านคน
ที่เลือกพรรคการเมืองหนึ่งว่าเป็นขบวนการล้มเจ้า ซึ่งเป็นการแอบอ้างและสร้างศัตรูให้กับเจ้าที่น่ากังวลยิ่ง
ประการที่เจ็ด สถานการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่กำลังเคลื่อนเข้ามาแวดล้อมประเทศไทยมากขึ้นทุกที ที่จะพลาดพลั้งเป็นฝักฝ่ายเอียงข้างใด
ข้างหนึ่งไม่ได้เป็นอันขาด
สถานการณ์ทั้งเจ็ดประการนี้ไม่ต่างอันใดกับพายุใหญ่หรือเกาะแก่งที่รัฐนาวาประยุทธ์ 2 กำลังเผชิญอยู่ในสมัยแรกของการประชุมนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี