 วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
                วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
             
							รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 2 ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวลา 17.00 น. ของวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 คสช. และอำนาจตามมาตรา 44 รวมทั้งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยที่ คสช. ตั้งขึ้น รวมทั้งคณะรัฐมนตรีชุดเก่าเป็นอันสิ้นสุดลง
บรรดาการใช้อำนาจของ คสช. ที่ผ่านมา แม้รัฐธรรมนูญให้มีผลทั้งทางนิติบัญญัติและทางบริหารก็ยังคงมีผลต่อไป เว้นแต่ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว หรือจนกว่าจะถูกเปลี่ยนแปลง
สำหรับอำนาจในการเรียกบุคคลมาปรับทัศนคติและควบคุมตัวตามมาตรา 44 ที่ได้โอนไปให้แก่ กอ.รมน. นั้น ยังมีปัญหาสับสนกันว่าจะยังคงดำเนินการได้เหมือนเดิมหรือว่าไม่ได้ เพราะรองนายกรัฐมนตรีก็ว่าไปทางหนึ่ง และเลขานุการ กอ.รมน. ก็ว่าไปอีกทางหนึ่ง
ก็ต้องบอกว่าคำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าวนั้นมีผลในทางนิติบัญญัติ ดังนั้นเมื่อ คสช. สิ้นสุดลง อำนาจดังกล่าวนี้แม้ยังคงอยู่และโอนไปสู่ กอ.รมน. แต่การปฏิบัติก็ไม่อาจปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้ง คสช. ยังอยู่ ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรงตามมาตรา 44
ดังนั้นอำนาจที่โอนไปยัง กอ.รมน. จึงอยู่ภายใต้ความจำกัดสองสถาน คือตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลัก คือกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการเรียกการตรวจค้น การจับกุม และการควบคุมตัวสถานหนึ่ง และอำนาจของ กอ.รมน.อีกสถานหนึ่ง เหตุนี้แม้จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่ก็ต้องปฏิบัติโดยนัยแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งดังกล่าวหลังจากสิ้น คสช. แล้ว ซึ่งต้องคอยติดตามดูกันต่อไป
หลังจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ได้ประชุมเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาช่วงค่ำ เป็นการเรียกประชุมในฤกษ์ผานาทีที่เรียกว่าเป็นโจโรฤกษ์ และเป็นวันเวลาที่พระอาทิตย์โคจรเข้าราศีกรกฎอันเป็นธาตุน้ำ เป็นลักษณะไฟตกน้ำ ซึ่งจะเป็นประการใดต่อไปก็น่าจับตาติดตามดู
การเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกโดยเร่งด่วนเช่นนี้มีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาว่าทางรัฐบาลต้องการจะเดินหน้าการบริหารบ้านเมืองให้เร็วที่สุด ไม่ต้องมีเวลาฮันนีมูน ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ต้องเรียกว่ายังมีคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพและความมั่นคง ทั้งในกิจการสภา ในกิจการรัฐบาล และกิจการด้านมวลชน รวมทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมาถึง
และจากการประมวลข่าวสารในรอบระยะเวลาที่ผ่านมาก็สามารถสรุปได้ว่าในห้วงเวลาสมัยประชุมแรกของรัฐสภา รัฐบาลประยุทธ์ 2 อาจต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่แหลมคมในรัฐสภาและนอกรัฐสภาดังต่อไปนี้
ประการแรก การอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับการเสนอนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ก็มีข่าวว่าจะมีการอภิปรายกันถึง 3 วัน 3 คืน ซึ่งไม่ได้ผิดแปลกไปจากแบบแผนแต่ก่อนมา เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำกันมาอย่างนี้ ดังนั้นจึงมีการจับตาการอภิปรายนโยบายรัฐบาลว่าจะเป็นประการใด เพราะแน่นอนว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคนเป็นคนหน้าเดิมและมีข่าวคราวหลายเรื่องที่อยู่ในความสงสัยในเชิงนโยบาย พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงอาจอภิปรายได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
ประการที่สอง การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ รวมทั้งการอภิปรายนายกรัฐมนตรีโดยตรงด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยประชุมแรก และเป็นที่จับตามองว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคนที่สังคมได้ตั้งข้อสังเกตจะถูกอภิปรายอย่างไร จะมีการนำเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาอภิปรายกันในสภาให้ประชาชนได้รู้เห็นกันทั้งประเทศหรือไม่อย่างไร
ประการที่สาม การอภิปรายงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งต้องถือว่าเป็นกฎหมายใหญ่และเป็นเรื่องที่มีการอภิปรายใหญ่ตามธรรมเนียมของรัฐสภา โดยจะอภิปรายว่ากล่าวกันเป็นรายกระทรวง รายโครงการ รวมทั้งเรื่องราวที่อาจเกิดความเสียหายและเกิดความเสียหายแก่งบประมาณแผ่นดินและการเงินการคลังของประเทศด้วย
ประการที่สี่ กรณีเกี่ยวกับการขอถอดถอนและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมทั้งเรื่องการขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ สส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลร่วมร้อยคน ซึ่งยังไม่รวมถึง สว. อีกประมาณ 30 คน และยังไม่รู้ว่าจะมีเพิ่มอีกกี่คน
ประการที่ห้า การเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นที่กำลังจะเปลี่ยนสภาพเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง แทนที่จะเป็นเรื่องของนักการเมืองท้องถิ่นเหมือนในอดีต ซึ่งนี่ก็ต้องถือว่าเป็นรุ่งอรุณอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่หากเชื่อมต่อกับเรื่อง popular vote ซึ่งประสบความสำเร็จในการเอามาแฝงไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นครั้งแรกแล้ว อนาคตของประเทศชาติก็น่าห่วงใยอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าขบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงเกาะติดกับอำนาจที่อาจขยับขยายผลของรัฐธรรมนูญไปสู่ขั้นใหม่อีกขั้นหนึ่ง
การเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดและจะบ่งบอกโฉมหน้าประเทศไทยที่น่าระทึกใจอย่างยิ่ง
ประการที่หก ความขัดแย้งและความแตกแยกแตกสามัคคี ที่มีความรุนแรงและส่อว่าจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้น ดังเช่นการผลักไสประชาชน 8-9 ล้านคน 
ที่เลือกพรรคการเมืองหนึ่งว่าเป็นขบวนการล้มเจ้า ซึ่งเป็นการแอบอ้างและสร้างศัตรูให้กับเจ้าที่น่ากังวลยิ่ง
ประการที่เจ็ด สถานการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่กำลังเคลื่อนเข้ามาแวดล้อมประเทศไทยมากขึ้นทุกที ที่จะพลาดพลั้งเป็นฝักฝ่ายเอียงข้างใด
ข้างหนึ่งไม่ได้เป็นอันขาด
สถานการณ์ทั้งเจ็ดประการนี้ไม่ต่างอันใดกับพายุใหญ่หรือเกาะแก่งที่รัฐนาวาประยุทธ์ 2 กำลังเผชิญอยู่ในสมัยแรกของการประชุมนี้

 'สี จิ้นผิง' ปลื้ม นโยบาย'อนุทิน'ไม่เอาคาสิโน
										'สี จิ้นผิง' ปลื้ม นโยบาย'อนุทิน'ไม่เอาคาสิโน
									 คนไทยรักชาตินับร้อย ให้กำลังใจทหารนาวิกโยธินตราด ที่บ้าน 3 หลัง พื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
										คนไทยรักชาตินับร้อย ให้กำลังใจทหารนาวิกโยธินตราด ที่บ้าน 3 หลัง พื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
									 ผบช.ก.เผย ยังไม่มีผู้ร้องทุกข์ผลข้างเคียง ‘ยาดมหงส์ไทย’ เตรียมส่งตัวอย่างตรวจสารปนเปื้อน
										ผบช.ก.เผย ยังไม่มีผู้ร้องทุกข์ผลข้างเคียง ‘ยาดมหงส์ไทย’ เตรียมส่งตัวอย่างตรวจสารปนเปื้อน
									 เอาแล้ว!!! ป.ป.ช.ได้รับสำนวนกองปราบฯ คดี 'ไชยชนก' ปูดสินบน 40 ล้าน
										เอาแล้ว!!! ป.ป.ช.ได้รับสำนวนกองปราบฯ คดี 'ไชยชนก' ปูดสินบน 40 ล้าน
									 ฮาโลวีนแบบตัวแม่! 'เจนี่'เสิร์ฟลุคบันนี่สาวสุดเซ็กซี่ ชาวเน็ตคอมเมนต์สนั่นไอจี
										ฮาโลวีนแบบตัวแม่! 'เจนี่'เสิร์ฟลุคบันนี่สาวสุดเซ็กซี่ ชาวเน็ตคอมเมนต์สนั่นไอจี
									
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี