พระเจ้าอยู่หัวคือคำเรียกแบบสั้นๆ ที่คนไทยใช้เรียกพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหตุที่คนไทยเรียกเช่นนั้น เพราะว่าคนไทยไม่นิยมเรียกพระนามจริงๆ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยเห็นว่าพระนามโดยแท้จริงของพระองค์ท่านเป็นของสูง ไม่ควรนำพระนามของพระองค์มาใช้เรียกกันโดยไม่บังควร นี่คือความละเอียดอ่อนของคนไทย
หลายคนมีคำถามว่า ทำไมคนไทยจึงเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายแบบ เช่น ในหลวง เจ้าชีวิต พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดิน พระมหากษัตริย์
ผู้เขียนขออนุญาตนำคำตอบของ พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒน์ เกษมศรี จากบทความเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับประเทศไทย ในหนังสือ นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย มาตอบคำถามบางข้อ ดังต่อไปนี้
พระเจ้าแผ่นดิน ตามรูปศัพท์หมายถึง ผู้ปกครองที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน คือผู้นำที่มีสิทธิ์ขาดในกิจการของแผ่นดิน และสามารถพระราชทานที่ดินให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งได้ แต่ในสังคมไทยพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้ทรงบำรุงรักษาแผ่นดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ที่ดินในพระราชอาณาเขตของพระองค์ให้เกิดประโยชน์ เช่น ทำการเพาะปลูกให้ได้ผล ตลอดจนเอาพระราชหฤทัยใส่ในการบำรุงแผ่นดินให้มีความอุดมสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ ดังที่ปรากฏเป็นโครงการพระราชดำริต่างๆ ในปัจจุบันนี้ และเป็นที่ประจักษ์ในสากลว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยทรงงานหนักที่สุดในโลก และทรงรักประชาชนของพระองค์อย่างแท้จริง
พระเจ้าอยู่หัว เป็นคำเรียกพระเจ้าแผ่นดินที่แสดงความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด และเป็นยอดของมงคลทั้งปวง พระเจ้าอยู่หัวหรือพระพุทธเจ้าอยู่หัว หมายถึงการยอมรับพระราชสถานะของพระเจ้าแผ่นดินว่าทรงเป็นองค์พระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงทรงเป็นที่รวมของความเป็นมงคล สิ่งของต่างๆ ที่พระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พิธีกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยพระบรมราชโองการ และการได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท หรือได้เห็นพระเจ้าอยู่หัว จึงล้วนแต่เป็นมงคลทั้งสิ้น
เจ้าชีวิต เป็นคำเรียกพระเจ้าแผ่นดินที่แสดงพระราชอำนาจเหนือชีวิตคนทั้งปวงที่อยู่ในพระราชอาณาเขต คำนี้อาจหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสิทธิ์ในการปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชนให้พ้นภัยวิบัติทั้งปวง หรือลงทัณฑ์ผู้กระทำผิดต่อพระราชกำหนดกฎหมาย ตลอดจนทรงชุบชีวิตข้าแผ่นดินให้มีความสุขล่วงความทุกข์ ทั้งนี้ สุดแต่พระเมตตาพระกรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้นของพระองค์ แต่ในสังคมไทยปัจจุบัน คำว่า เจ้าชีวิต หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินผู้พระราชทานกำเนิดแนวคิดโครงการต่างๆ แก่ประชาชน โดยมิได้ทรงใช้พระราชอำนาจล่วงไปเกินขอบเขตแห่งราชนิติธรรม แต่ทรงดำรงธรรมะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินวินิจฉัยเรื่องทั้งหลายทั้งปวงด้วย
ส่วนคำว่า ในหลวง นั้น หลายคนก็สงสัยว่าเหตุใดคนไทยจึงเรียกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ในหลวง ซึ่งในที่นี้ขอนำเอาข้อเขียนของ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ มาเป็นเครื่องอธิบายประกอบ โดย ดร.บัญชา ได้อ้างอิงจากหนังสือ สาส์นสมเด็จ ในตอนหนึ่งซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทานพระอธิบายคำว่า ในหลวง ไว้
ดูเหมือนมูลจะมาแต่วิธีปกครองของไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เอาสกุล Family เป็นหน่วย เรียกว่า ครัว อันเป็นที่ทำอาหารมาเรียก ก็พอคิดเห็นได้ คงเป็นเพราะแต่ละสกุลมากบ้างน้อยบ้างเอาเป็นกำหนดยาก แต่สกุล 1 คงต้องมีเรือนครัวไฟหลังหนึ่งสำหรับทำอาหารกินด้วยกัน จึงเอาครัวเป็นหน่วยด้วยประการฉะนี้ ก็การปกครองสกุลหรือครัว พ่อย่อมปกครองเป็นธรรมดา จึงเรียกผู้ปกครองขั้นต้นว่า พ่อครัว (คนภายหลังเอาคำพ่อครัวไปเรียกหัวหน้าพนักงานทำอาหาร Cook นั้นเป็นด้วยเข้าใจผิด)
ต่อมาถึงขั้นที่ 2 อาศัยเหตุที่สกุลต่างๆ อันตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่อันเดียวกันมักเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกัน จึงให้พ่อครัวคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองสกุลทั้งหลาย รวมกันเรียกว่า พ่อบ้าน
ต่อมาอีกขั้น 1 หลายบ้านเช่นนั้นรวมกันเป็น เมือง มีกำหนดที่แผ่นดินเป็นอาณาเขตปกครองคั่นต้น (ในเอกสารต้นฉบับสะกดตามที่ให้ไว้ว่า คั่นต้น) เรียกผู้ปกครองว่า พ่อเมือง คงเป็นคนเกิดในเมืองนั้นเอง.......
อย่างไรก็ตาม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ขุนหลวง กันแพร่หลายมาจนตลอดสมัย เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ยังเสวยราชย์อยู่ว่า ขุนหลวง เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยเอาคำอื่นประกอบเข้าข้างท้ายให้รู้ว่าองค์ไหน เช่น เรียกว่า ขุนหลวงเสือ ขุนหลวงท้ายสระ ขุนหลวงบรมโกศ ขุนหลวงหาวัด และขุนหลวงพระที่นั่งสุริยามรินทร์ แม้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เรียกกันว่า ขุนหลวงตาก เป็นที่สุด
คำว่า ขุนหลวง นี้เป็นมูลที่ตัดเอาคำ หลวง ข้างท้ายไปประกอบ ใช้หมายความว่า เนื่องด้วยพระเจ้าแผ่นดิน เช่นว่า คนหลวง ช้างหลวง เรือหลวง หมายความว่า คน ช้าง และเรือ อันเป็นของขุนหลวง แล้วพูดลดคำ ขุน ให้คงเหลือเพียง 2 พยางค์โดยสะดวกปาก เลยเกิดคำ ของหลวง หมายความสรรพสิ่งบรรดาซึ่งเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วใช้เลยไปโดยไม่สังเกตความ ถึงเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ของหลวง
คำนี้มีอยู่ในตำรากระบวนเสด็จประพาส ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ประชุมข้าราชการครั้งกรุงศรีอยุธยา 20 คน ประชุมกันแต่งขึ้น (หอพระสมุดฯ พิมพ์ไว้ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 19) ในตำรานั้นเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ของหลวง เช่นว่า ปลูกพลับพลารับเสด็จของหลวง ดังนี้ เห็นจะใช้เรียกกันมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว
คำว่า ในหลวง ก็อยู่ในคำพวกเดียวกัน เห็นจะมาแต่ ในวังขุนหลวง หรือ ในกิจการของขุนหลวง แล้วก็เลยเรียกหมายความต่อไปถึงพระองค์พระเจ้าแผ่นดินตามสะดวกปากว่า ในหลวง อย่างเดียวกับคำว่า ของหลวง
แต่สังเกตเห็นในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 19 ซึ่งกล่าวมาแล้วอย่างหนึ่ง ที่ใช้คำเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ของหลวง มีแต่ในตำราที่แต่งครั้งกรุงธนบุรี ถึงตำราที่แต่งในรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ใช้คำว่า ในหลวงทั้งนั้น หาใช้คำของหลวงไม่ อาจจะเป็นเพราะสั่งให้เลิกใช้คำ ของหลวง และใช้คำ ในหลวง แทนเมื่อสมัยนั้นก็เป็นได้
คำว่า พระมหากษัตริย์ คือประมุขหรือผู้ปกครองสูงสุดของประเทศ คำว่ากษัตริย์มาจากคำว่า เขตตะ แปลว่า ผู้มีที่ดินมาก ส่วนคำสันสกฤต เกษตตะ หรือเกษตร ก็แปลว่าผู้ที่มีที่ดินมาก คำว่าพระมหากษัตริย์ จึงมีความหมายว่า ผู้ที่ยึดครอง หวงแหน และขยายผืนแผ่นดินไว้เพื่อให้แก่ประชาชนและอาณาประชาราษฎร์ ที่พระองค์ทรงเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตทรงกอบกู้เอกราชบ้านเมืองไว้ให้ชนรุ่นหลัง ดังนั้นความหมายของ พระมหากษัตริย์ตามรูปศัพท์จึงหมายถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่
สำหรับคนไทยแล้ว คำว่า ในหลวง เจ้าชีวิต พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดิน และพระมหากษัตริย์ ก็มีความหมายเดียวกันคือ พระผู้ทรงเป็นมิ่งเป็นขวัญ อยู่เหนือเกล้าเหนือเกศ ทรงปกเกล้าปกเกศของเหล่าปวงอาณาราษฎร ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความผาสุก และความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินไทย และเป็นพระผู้ซึ่งทรงเป็นหลักรวมจิตรวมใจของคนไทยทั้งชาติ และเป็นผู้ที่ปวงชนชาวไทยถวายความจงรักภักดีตราบชั่วชีวิต และตราบฟ้าดินสลาย สาเหตุที่คนไทยมอบกายถวายชีวิตแด่พระเจ้าอยู่หัวด้วยความเต็มใจ ก็เพราะว่าคนไทยตระหนักและประจักษ์ดีมาเป็นเวลาช้านานแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงให้ความรัก ความหวังดีแก่พสกนิกรของพระองค์ และด้วยให้นี้เองจึงทำให้พสกนิกรไทยต่างพร้อมใจถวายความรักให้พระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี