ในการไปร่วมประชุมสัมมนาที่จัดบนเวทีสาธารณะ โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวกับการบ้านการเมืองของไทย คงไม่แปลกที่ใครๆ มักจะมีความรู้สึกว่าน่าจะมีอย่างน้อยสัก 1 หรือ 2 คน ที่มิได้เข้ามาร่วมฟังโดยมีเจตนาเพื่อเสริมความรู้ หาคำตอบต่อความข้องอกข้องใจ หรือมาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
หากแต่เขาคนนั้นมาเข้าร่วมเพื่อฟังดูว่าจะมีวิทยากรหนึ่งใดที่พูดจาเร้าอารมณ์ หรือโน้มน้าวผู้ร่วมฟังให้เกิดการกระทบกระทั่งต่อ “ความมั่นคง” หรือไม่ โดยบุคคลเหล่านี้ถ้าเป็นฝ่ายราชการลับก็เข้าใจกันได้ว่า เขามาทำหน้าที่ เพราะเป็นหน้าที่ หรือไม่ก็เพราะมี “เจ้านาย” สั่งมา
แต่หลังจากนั้นแล้ว จะไปรายงานเจ้านายกันอย่างไร ประชาชนพลเมืองก็ไม่มีโอกาสได้รู้ ได้เห็น และถ้าไปรายงานเกี่ยวกับเจ้าตัวผู้ร่วมอภิปรายเขาเป็นการเฉพาะ ก็เป็นเรื่องที่เจ้าตัวผู้นั้นไม่มีสิทธิ์ทักท้วงหรือแก้ต่างแต่อย่างใด ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นการถูกป้ายร้ายป้ายสี ตีตรา ให้เสียหายแต่ฝ่ายเดียว จะเรียกว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานก็ว่าได้
ซึ่งหากจะส่งใครไปสำรวจตรวจตรา ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าหน้าที่เหล่านั้นน่ะมีความรู้ มีความเข้าใจในประเด็นปัญหาที่วงสัมมนาเขาจัดเสนอ จัดอภิปรายโต้เถียงกันมากน้อยแค่ไหน? และเจ้าหน้าที่จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้วยว่า การวิพากษ์วิจารณ์บรรดาเจ้านายที่มีตำแหน่งหน้าที่ในบ้านเมืองนั้น เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ เพราะคนเหล่านั้นต่างเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ต้องยอมรับให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ติชมจากสังคมได้ (เพราะไม่มีใครบังคับให้มาทำหน้าที่นั้น แต่มากันเองด้วยจิตอาสา แล้วได้ค่าตอบแทน ซึ่งมีที่ไปที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชนพลเมืองผู้เสียภาษีด้วย)
แต่เรื่องที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ สามารถแยกแยะความต่างระหว่างความมั่นคงของรัฐ (ประเทศชาติ) กับความมั่นคงของคณะผู้บริหารประเทศ (รัฐบาล) ได้มากน้อยแค่ไหน? การวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายรัฐบาลก็เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงของรัฐชาตินั่นเอง
อย่าลืมว่า การเปิดเวทีประชุมสัมมนา หรือเสวนาในที่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องลับ ซึ่งคงไม่มีใครเสียสติขนาดที่คิดจะไปทำลายความมั่นคงของรัฐอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เห็นว่าคนทำนั้น ต่างทำแบบ “ลับๆ” มาตลอด ฉะนั้น หน่วยงานราชการลับก็ควรทำหน้าที่สอดส่อง สอดแนม แทรกซึม แทรกแซง และดำเนินการกับผู้ก่อการลับเลวร้ายทั้งหลายตามกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่มานั่งจับจ้องเวทีสาธารณะที่เปิดเผย โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์ตัวคณะรัฐบาลนั้น ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถกระทำได้เต็มที่ตามครรลองสังคมเสรีประชาธิปไตย
รัฐบาลต้องตระหนักให้ได้ว่า ความไม่มั่นคงของรัฐบาลนั้น มิได้จู่ๆ ก็ก่อกำเนิดเองโดยฝ่ายประชาชนผู้ไม่พึงพอใจ หากแต่ความสั่นคลอนส่วนใหญ่นั้นมาจากพฤติกรรมของฝ่ายรัฐบาลเอง ที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามระดับ ตามมาตรฐาน หรือเป้าที่ประชาชนคาดหวังไว้
เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะต้องเข้าใจว่า หากจะมีความไม่มั่นคงของฝ่ายรัฐบาลเกิดขึ้น นั่นก็เกิดจากฝีมือของฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง และเมื่อฝีมือไม่ถึง ประชาชนพลเมือง ผู้เป็น “เจ้านาย” ของฝ่ายรัฐบาล ก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นต่างๆ ทั้งติ ทั้งชม ทั้งเสนอแนะ และเรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไข ซึ่งการกระทำเหล่านี้ของประชาชน มิใช่เป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หากแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงของตัวฝ่ายรัฐบาลเอง ฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ราชการลับ ไม่มีหน้าที่จะเข้ามาสอดส่อง และจัดทำรายงาน เพื่อความ
มั่นคงของรัฐบาล เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนพลเมืองที่จะแสดงความคิดเห็นต่างๆ ต่อฝ่ายรัฐบาลได้
ความมั่นคงของฝ่ายรัฐบาลขึ้นอยู่กับผลงานและพฤติกรรมดังกล่าว จะมาอ้างเหมารวมว่า เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเวทีสาธารณะแล้ว จะเป็นผลร้ายต่อความมั่นคงของรัฐ ก็จัดว่าเป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม เท่ากับว่าเอาเรื่องความมั่นคงของรัฐมาปะปนกับความมั่นคงของตัวรัฐบาล หรือไม่ก็อ้างความมั่นคงของรัฐเพื่อปกป้องคุ้มครองตนเอง เป็นการเอารัดเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง และคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมือง
ฉะนั้น การที่ฝ่ายรัฐบาลจะไปสั่งการให้เจ้าหน้าที่ราชการลับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง มาแทรกแซง สอดแนมประชาชน ก็ไม่เป็นการสมควร และเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล
ส่วนเจ้าหน้าที่ราชการ “ลับ” หากไม่ได้รับคำสั่งให้ไป “หาข่าว” แต่ไปสำรวจตรวจตราตามเวทีเสวนาต่างๆ เพียงเพื่อเอาใจเจ้านาย ก็ถือว่าเป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ และเป็นการเบียดเบียนประชาชนพลเมือง
หากอยากให้รัฐบาลมีความมั่นคงแล้ว ฝ่ายรัฐบาลต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความโปร่งใส ด้วยความรับผิดชอบ และไม่เบียดบังประชาชน โดยเฉพาะเมื่องานฝ่ายรัฐบาลเป็นงานรับใช้ และบริการประชาชน เป็นงานที่ใช้เงินภาษีราษฎร ฉะนั้น “ความลับ” ในการบริหารงานต่างๆ ก็ไม่ควรมี การปิดบังข้อมูลต่อสังคมไม่ควรเกิดขึ้น และเมื่อประชาชนสอบถามก็ไม่หวง แล้วอ้างเรื่อง “ความมั่นคง”
แน่นอนว่าเรื่องงบลับต่างๆ ที่ใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ในช่วงเจรจา อาจถือว่าเป็นความลับได้ แต่ก็ควรมีระยะเวลาอันจำกัด เมื่อยุติไปแล้วฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่ที่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน ให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสย้อนหลังได้ ไม่ใช่ฝังเป็นความลับไปชั่วกาลนาน จนเกิดเป็นช่องทางให้สังคมคลางแคลงใจได้ และการเปิดเผยข้อมูล เช่น งบลับหรืองานลับในอดีตนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐอีกต่อไป เพราะประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ในที่สุด
ในสังคมเสรีประชาธิปไตยนั้น ประชาชน มิใช่ผู้ร้าย มิใช่ผู้ต้องสงสัย ที่จะต้องให้หน่วยงานราชการลับมาคอยติดตาม คอยสอดส่อง เขียนรายงาน เพราะที่เขาออกมาพูดมาจากันบนเวทีเปิดนั้น ก็เพราะเขามีความหวังดีต่อชาติ ในฐานะผู้เป็นเจ้าของประเทศ ที่อยากให้สังคมไทยมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสังคมที่เจริญแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี