เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สังคมไทยมีปัญหาหนักและใหญ่ ปัญหาหนึ่งคือปัญหาน้ำแล้ง หรือที่คนบางกลุ่มเรียกให้ดูน่าสะพรึงกลัวว่าภัยแล้ง เพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างในการเบิกงบฉุกเฉิน ขณะเดียวกันก็มีคนบางกลุ่มอาศัยสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ สร้างภาพให้ตัวเองดูดีเกินความจริงอย่างน่าสมเพช โดยเฉพาะพวกที่ชอบตีข่าวสร้างภาพว่า ตนเองบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้งในบางจังหวัดในเขตภาคอีสาน ซึ่งพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ ภาษาสื่อมวลชน รวมถึงกลุ่มคนรู้ทัน จะเรียกว่าเป็นพวกชอบเสนอหน้าเพื่อหวังผลทางการเมือง และเพื่อตะกายไปสู่ตำแหน่งทางการเมือง
แต่ขณะนี้ หลังจากมีมรสุมพัดเข้ามาในดินแดนของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมถึงภาคใต้ ก็ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมฉับพลันตามมา
อย่างล่าสุดกำลังเกิดเหตุอุทกภัยในเขตจังหวัดภาคอีสานบางจังหวัด อาทิ ร้อยเอ็ด แล้วถ้าดูย้อนหลังไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เกิดเหตุอุทกภัยในเขตจังหวัดภาคเหนือหลายจังหวัด อย่างเช่นที่ น่าน ลำปาง เป็นต้น
คอลัมน์เขียนให้คิดนำเสนอบทความเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งในสังคมไทยมาเป็นประจำ จนอาจเข้าข่ายเรียกได้ว่าเป็นปัญหาประจำฤดูของสังคมไทย เพราะเวลาเมื่อถึงฤดูฝน เมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายวัน ก็จะเกิดปัญหาน้ำท่วมในเขตหลายจังหวัด โดยเฉพาะในเขตที่ไม่มีอ่างเก็บน้ำ หรือเขื่อนขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้กักเก็บน้ำ และชะลอกระแสน้ำในยามฝนชุก แต่ครั้นเมื่อถึงยามหมดฤดูฝน ก็จะเกิดปัญหาฝนแล้ง จนถูกเรียกให้ดูน่ากลัวว่าวิกฤติภัยแล้ง
ผู้เขียนเชื่อว่า วิญญูชนในสังคมไทยคงไม่ปฏิเสธความจริงในประเด็นนี้ เพราะเป็นสิ่งที่คนในสังคมไทยได้ประสบกับปัญหาดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 ถึง 40 ปีมาแล้ว และก็จะยังคงประสบปัญหาเช่นนี้เรื่อยไปในอนาคต ตราบเท่าที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้ใดสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
มีคำถามว่า ทำไมสังคมไทยจึงสร้างเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ได้ยากเย็น แล้วมีคำถามตามมาอีกว่า เหตุใดจึงมีการคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่
มีประเด็นที่น่าคิดอยู่ตรงที่ว่า ผู้คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนให้เหตุผลว่าในความเป็นจริงนั้น ประเทศของเรามีเขื่อนอยู่มากมาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ไม่มีน้ำกักเก็บอยู่ในเขื่อน ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธความจริงในข้อนี้ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเคยมีใครคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดจึงไม่มีน้ำไหลลงเขื่อนที่เราได้ลงทุนก่อสร้างไปแล้ว
เมื่อถามถึงคำถามนี้ หลายคนก็จะตอบว่า เพราะเราทำลายป่าไม้จนเกือบจะหมดจากประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ฝนจึงไม่ตกต้องตามฤดูกาล เนื่องจากป่าที่เคยเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป
นั่นคือคำตอบที่เรามักจะได้ยินจากกลุ่มผู้ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน
ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อนก็จะให้เหตุผลว่า เมื่อจะต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ก็เท่ากับการทำลายพื้นที่ป่าไม้ และยังทำให้สัตว์ป่า รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่จะกลายเป็นอ่างกักเก็บน้ำ ได้รับความลำบาก และต้องย้ายถิ่นฐานออกไป
แน่นอนว่าข้ออ้างหรือเหตุผลของกลุ่มผู้ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อนเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ก็มีผู้ตั้งคำถามโต้แย้งว่า ระหว่างการก่อสร้างเขื่อนกับการไม่มีเขื่อนประเทศไทยและสังคมไทยควรจะเลือกแนวทางใด เพื่อจะให้สามารถแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นซ้ำซากให้หมดสิ้นไปได้โดยสมบูรณ์
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการก่อสร้างเขื่อนย่อมทำให้พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายลงไปบางส่วน สัตว์ป่าและผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ใช้ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่เราก็สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างพื้นที่ป่าขึ้นมาใหม่ และเราสามารถขนย้ายอพยพผู้คนและสัตว์ป่าออกไปอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัยได้ ใช่หรือไม่
นี่คือปัญหาที่กลายเป็นวิวาทะในสังคมไทยมายาวนานมากกว่า 30 ปี และมีวิวาทะเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อจะมีการก่อสร้างเขื่อน แต่เมื่อถึงยามหน้าแล้ง ที่ส่งผลร้ายแรงให้ประชาชนหลายล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเขตต่างๆ ของประเทศไทยไม่มีน้ำใช้ สาธารณชนก็กลับไม่เคยเห็นว่ากลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนจะออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
อันที่จริงถ้าเราไม่โกหกตัวเองจนเกินไป สาธารณชนในสังคมไทยจะต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ประเทศไทยของเรามีประชากรเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อ 30-40 ปีก่อนหลายสิบล้านคน แต่ประเทศไทยของเรากลับมีพื้นที่กักเก็บน้ำสำหรับให้ประชากรได้ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างสะดวกสบายในสัดส่วนไม่พอเพียงและไม่สมดุล
นอกจากจำนวนประชากรจะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าแล้ว สังคมไทยของเรายังมีความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม และเพื่อการเพาะปลูกที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าสังคมของเราไม่สามารถกักเก็บน้ำซึ่งมาจากฝนที่ตกในแต่ละปีในปริมาณที่ไม่ต่างกันมากนัก
เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่าฝนที่ตกลงมาในประเทศไทยบางครั้งไม่ได้ตกเหนือเขื่อน แต่ตกอยู่ใต้เขื่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างเหมาะสมเราก็จะเกิดปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบ
แล้วพอถึงหน้าฝนเราก็จะพบเจอปัญหาน้ำท่วม ครั้นพอหมดฝนได้ไม่กี่เดือน เราก็จะเจอปัญหาน้ำแล้ง ซึ่งเป็นปัญหาสังคมดังที่เราได้ประสบกันอยู่มาโดยตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
สำหรับผู้ที่ตั้งคำถามว่า ถ้ามีการก่อสร้างเขื่อนแล้วจะมีผู้ทุจริตคอร์รัปชั่นฉ้อโกงเงินในการก่อสร้างเขื่อน หรืออาจจะทุจริตคอร์รัปชั่นในการนำไม้มีค่าไปเพื่อเป็น
ผลประโยชน์ของตัวเอง เราก็ควรจะต้องกลับมามองว่าเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเข้มงวดกับการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อบังคับและเอาผิดผู้ที่ประพฤติทุจริต
มิใช่การหวาดระแวง และกลัวเพียงแค่เรื่องการทุจริตโดยไม่มองปัญหาทางออกหรือหนทางแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาอย่างซ้ำซากยาวนาน
ถ้าเราไม่สามารถจัดการบริหารระบบน้ำในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว คนไทยทั้งประเทศก็จะประสบปัญหาเรื่องน้ำท่วม-น้ำแล้งเช่นนี้ตลอดไปชั่วกัลปาวสาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี