วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
บทความเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วได้เขียนเรื่อง การขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนตามทฤษฎีสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งในตอนสุดท้ายได้เสนอรัฐบาลให้นำนโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตยมาเป็นนโยบายบริหารประเทศ เพื่อช่วยคนยากจนที่รัฐบาลต้องทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลในรูป “ประชานิยม” แต่ผลที่ได้รับเปรียบเสมือน “ยาแดงทาแผล” ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนที่ยั่งยืนได้ จึงใคร่เสนอแนวทางที่จะทำให้คนยากจนยืนอยู่บนขาตัวเองได้ด้วยวิธีการที่ให้เครื่องมือในการประกอบอาชีพให้กับคนยากจนช่วยตัวเองแทนที่จะคอยแบมือรับความช่วยเหลือไม่มีวันที่สิ้นสุด วิธีการที่เสนอ คือ ดำเนินการตามหลัก “สหกรณ์” แต่ไม่ใช่สหกรณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ การให้ความรู้และสนับสนุนให้คนยากจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ข้อหนึ่ง พัฒนาให้คนยากจนมีความรู้ในการประกอบอาชีพตามสภาพของท้องถิ่นด้วยการจัดให้มีวิทยากรทำการอบรมกลุ่มคนยากจนในด้านวิชาการ ด้านการบริหาร ด้านการเงิน และทรัพยากรมนุษย์และในระหว่างการฝึกอบรมสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นมีเงินดำรงชีพตามสมควรด้วย
ข้อสอง เมื่ออบรมให้มีความรู้ในวิชาการทั้งด้านวิชาชีพด้านการตลาดและอื่นๆ ดังกล่าวแล้ว ควรจัดหาสถาบันประกอบการสอนวิชาการบริหารทั้งด้านบริหารการเงินเพื่อดำรงชีวิตจนเขาเหล่านั้นสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ ในเวลาเดียวกันรัฐบาลเองจะต้องวางนโยบายทางสังคมตามหลักของ “สังคมนิยมประชาธิปไตย” ควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ จะทำอย่างไรที่จะทำให้สังคมไทยมีชนชั้นกลางเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยวิธีการกระจายความมั่งคั่งของประชาชนด้วยระบบภาษีอากร
นโยบายดังกล่าวนี้ถ้านำมาใช้คนร่ำรวยทั้งหลายอาจไม่พอใจในตอนแรก แต่ถ้ามองในทางตรงข้ามบรรดาคนร่ำรวยอาจพยายามที่จะสร้างความมั่งคั่งด้วยความสามารถที่เขามีเพื่อทดแทนสิ่งที่เข้าต้องจ่ายให้สังคม ผลก็คือ จะทำให้สังคมโดยรวมจะกลายเป็นสังคมที่มั่งคั่งและยั่งยืนเฉกเช่นประเทศสังคมนิยมประชาธิปไตยอื่นๆ เช่น ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียซึ่งเคยเป็นประเทศยากจนมาก่อน แต่เมื่อนำเอาระบบการปกครองแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยมาใช้ ผลก็คือทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นประเทศที่พัฒนาไปสู่ประเทศที่ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีแม้ประชาชนบางกลุ่มรู้สึกว่าเขาทำงานหนักเพราะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลมากก็ตาม แต่โดยรวมแล้วถ้าเปรียบกับประเทศด้อยพัฒนาสังคมที่ประเทศเหล่านั้นประชาชนมีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมาก ดังเช่นประเทศในทวีปแอฟริกา ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ รวมทั้งประเทศในเอเชียที่ประชากรจำนวนน้อยไม่เกิน 10% ของประชาชนทั้งหมดแต่มีความมั่งคั่งมากกว่าประชากรส่วนใหญ่รวมกัน ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย
สุดท้ายนี้ ถ้ารัฐบาลเห็นว่าแนวทางดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางที่จะแก้ปัญหาสังคมได้ แม้การปฏิรูปดังกล่าวจะยากลำบากมากเปรียบเสมือน “เข็นครกขึ้นภูเขา” ก็ตาม แล้วถ้าทำสำเร็จจะทำให้ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมอาจจะดีขึ้น และประชาชนโดยรวมจะมีความสุขมากขึ้น สังคมไทยจะพ้นจากสังคม “รวยกระจุกแต่จนกระจาย” ดังประเทศเพื่อบ้านบางประเทศที่เคยมีสภาพเช่นประเทศไทยมาก่อนแต่เขาประสบความสำเร็จในปัจจุบัน เพราะใช้แนวทางบริหารประเทศตามหลัก “สังคมนิยมประชาธิปไตย”

บุกจับคาเตียง! ‘สาวไทย-หนุ่มไนจีเรีย’ แก๊งโรแมนซ์สแกม หลอกเงินเหยื่อสูญกว่า 114 ล้านบาท
'ธรรมนัส'สั่งเข้ม! 'กรมชลประทาน' ประสานงานรองรับมวลน้ำ 'คัลแมกี'
ปิดฉากอาชีพการเมืองกว่า40ปี! 'แนนซี เพโลซี'อดีตปธ.สภาผู้แทนฯหญิงคนแรกมะกันประกาศวางมือ
'อัจฉริยะ' นั่งประท้วงหน้า สตช. ลั่น 10 พ.ย. ถ้า ผบ.ตร.ไม่ดำเนินการจะมาอีกรอบ เตือน'อนุทิน'คัดกรองตำรวจใกล้ตัว
'ธรรมนัส'ลั่น พรรคกล้าธรรม พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ปัดตอบปมนายกฯชิงยุบสภาก่อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี