หลังจากคณะผู้เผด็จการได้ผ่อนคลายกติกาให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบหรือประชาธิปไตยฟันปลอมด้วยการร่างกติกาหรือรัฐธรรมนูญโดยยอมให้มีพรรคการเมืองภายใต้กติกาที่เข้มงวดหลังจากปกครองมาเป็นเวลากว่า 5 ปี ทั้งๆ ที่เมื่อทำการปฏิวัติหัวหน้าคณะปฏิวัติ คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งบัดนี้ได้เกษียณอายุเป็นข้าราชการบำนาญที่เข้ามาห้ามทัพเพื่อยุติมิให้ประเทศเป็นรัฐที่ล้มเหลว คณะปฏิวัติซึ่งเรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตั้งรัฐบาลบริหารประเทศอยู่จนเวลาสี่ปีก็ได้ตั้งคณะกรรมการโดยให้เนติบริกรตัวพ่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยฟันปลอมขึ้นเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2560 และประกาศใช้
หลังจากนั้นก็จัดให้มีการเลือกตั้งก่อนมีการเลือกตั้งก็ประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมืองและให้ลูกสมุนการเมืองซึ่งประชาชนเรียกว่าสี่กุมารตั้งพรรคด้วยการดูดเอาอดีตนักการเมือง (ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติประณามว่าเป็นนักการเมืองสีเทาสังกัดพรรคการเมืองที่คณะปฏิวัติขับไล่) แต่มีศักยภาพในการมีอิทธิพลเข้ามาเป็นสมาชิกของพรรคที่ลูกสมุนตั้งโดยหวังว่าจะได้รับการเลือกตั้งมากกว่าพรรคที่ตนขับไล่ แต่ผลปรากฏว่าไม่เป็นไปตามคาดเพราะพรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเลือกตั้งน้อยกว่าพรรคที่ตนปฏิวัติจึงจำเป็นต้องขอเสียงสนับสนุนพรรคขนาดกลางอีก 2 พรรค รวมทั้งพรรคขนาดจิ๋วอีกกว่า 20 พรรค จึงจะเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลแต่เสียงก็ยังปริ่มน้ำ นอกจากนี้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาก็ไม่มีการสรรหาโดยทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคณะแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเองทั้งหมด ฉะนั้นเมื่อรัฐสภาประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีคะแนนของสมาชิกวุฒิสภารวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงมีผลทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่การตั้งคณะรัฐบาลก็ต้องอาศัยรัฐมนตรีจากพรรคการเมือง ทั้งขนาดกลาง 2 พรรค และเสียงสนับสนุนจากพรรคขนาดจิ๋วอีกด้วย จากสถานะกรณีดังกล่าว เนื่องจากรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกติกาสูงสุดในการปกครองที่ร่างโดยเนติบริกรจึงก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตได้
ฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ขวากหนามที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคอีกมากเพราะการปกครองในรูปแบบใหม่ที่ต่างจากการปกครองในระบบเผด็จการมีดาบอาญาสิทธิ์สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ซึ่งต่างกว่าการบริหารภายใต้กติกาใหม่โดยเฉพาะการเมืองแบบไทยๆ การต่อรองทางการเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์จะสร้างความยุ่งยากให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไม่เคยประสบมาก่อนเพราะจะต้องอดทนอดกลั้นอย่างมาก การบริหารประเทศภายใต้ปัญหาที่จะต้องเผชิญจะต้องใช้ความสามารถความอดทนรวมทั้งต้องมีเครื่องช่วยที่อยู่นอกเหนือกติกาจึงจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ได้
ก่อนจบขอนำเอาคำคมของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มากล่าวในการบริหารนักการเมืองว่า “เปรียบเสมือนฤาษีเลี้ยงลิง” และท้ายที่สุดขออวยพรให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาผู้ผ่านประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกหัวหน้าคณะปฏิวัติผู้เผด็จการและกำลังทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกว่านายกรัฐมนตรีสมัยแรก ประสบความสำเร็จในการนำประเทศไปสู่ “ความโชติช่วงชัชวาล”เฉกเช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากผู้บัญชาการทหารบกเช่นกัน และประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต อย่างไรก็ดี ความแตกต่างระหว่างคณะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แตกต่างกว่ารัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คือ ทีมเศรษฐกิจของพลเอกเปรม มีความสามารถจึงทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกเปรมนำประเทศไปสู่ “โชติช่วงชัชวาล” ได้สำเร็จ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี