ปัญหาจริยธรรมของระบบราชการไทยกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาเป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ได้เกิดขึ้นในยุคที่มีประชาธิปไตยเบ่งบานมากขึ้นภายหลังปี 2520 เป็นต้นมาซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านการบริหารราชการแผ่นดินจากยุคเก่าที่ข้าราชการประจำมีอำนาจในการบริหารมากมาสู่ยุคที่มีนักการเมืองทั้งส่วนกลาง,ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
ก่อนเกิดการรัฐประหารที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบใหม่ที่อ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบชาติตะวันตกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อำนาจการบริหารประเทศอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ข้าราชบริพารของพระองค์เป็นหลักข้าราชการรองๆ ลงมามีหน้าที่ปฏิบัติตามกรอบประเพณีที่กำหนดไว้ตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ปัจจุบันหน่วยราชการที่กำกับดูแลข้าราชการทั้งหมดก็คือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุด 1 ใน 3 อำนาจ นอกจากนี้ก็มีประธานศาลฎีกามีหน้าที่กำกับดูแลข้าราชการฝ่ายตุลาการทั้งหมดและประธานรัฐสภานั่นคือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่กำกับดูแลจริยธรรมของข้าราชการทั้งหมดในสายงานของรัฐสภา
ข้าราชการพลเรือนทั่วไปนั้นไม่ว่าจะอยู่ในหน่วยราชการกระทรวงทบวงกรมใดจะมีกรอบระเบียบจริยธรรมของข้าราชการที่ออกโดยสำนักงานข้าราชการพลเรือนกำหนดไว้อีกทีหนึ่งเรียกว่าประมวลจริยธรรมของข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีการระบุแนวทางปฏิบัติให้ข้าราชการพลเรือนได้ปฏิบัติตามที่มีกฎหมายกำหนดแนวทางไว้ว่าข้าราชการสมควรมีหน้าที่และมีจริยธรรมอะไรที่ควรจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องอย่างใดบ้าง
ปัญหาใหญ่ที่ปรากฏในหมู่ของข้าราชการในปัจจุบันก็คือข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำมักมีการเกี่ยวพันกันมากขึ้น ข้าราชการการเมืองที่อยู่บนสุดของระบอบบริหารราชการแผ่นดินทั้งส่วนกลาง,ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลข้าราชการประจำให้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ขัดเต่อศีลธรรมอันดีและประมวลจริยธรรมของรัฐบาล
ที่มีคำว่าธรรมาภิบาลร่วมอยู่ด้วย
เรื่องหนึ่งที่สังคมกำลังให้ความสนใจอยู่มากก็คือจริยธรรมของข้าราชการพลเรือนบางหน่วยมีข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงบางคนประพฤติผิดคุณธรรมนั่นคือมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายอยู่แล้วแต่กลับมีกิ๊กหลายๆ คนทำงานในหน่วยราชการใหญ่แห่งนั้นด้วยโดยนัยว่าทางภรรยาของผู้บริหารทราบว่าสามีมีกิ๊กแต่ไม่ว่าอะไรเพราะรู้เห็นด้วยในลักษณะเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
กรณีแบบนี้ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศตะวันตกก็มีเรื่องในทำนองนี้เคยเป็นข่าวฉาวโฉ่โด่งดังไปทั่วโลก ในเมืองไทยนั้นมีข่าวในทำนองนี้นั่นคือปัญหาข้าราชการมีผลประโยชน์มีนอกมีในเชื่อมโยงกันไปหมดจะตรวจสอบอะไรก็ยากเพราะผลประโยชน์บังตามีเงินมหาศาลมาเกี่ยวข้องซึ่งหนทางแก้ไขให้สำเร็จก็คือข้าราชการการเมืองที่อยู่เบื้องบนสุดไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือประธานรัฐสภาต้องเข้ามาล้วงลูกบ้างอย่าปล่อยข้าราชการประจำทำตามอำเภอใจมากนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี