เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังออกมาเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการทางภาษีสรรพสามิต 2 มาตรการ โดยหนึ่งในนั้นเป็นการปรับลดการเก็บภาษีสรรพสามิตยาเส้นให้กับชาวไร่ หรือโรงงานขนาดเล็กที่มีการทำเอง หั่นเอง ขายเอง และมียอดผลิตไม่เกิน 12,000 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงปรับปรุงเงื่อนไขการยกเว้นภาษีให้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ชาวไร่ และโรงผลิตยาเส้นขนาดเล็กซึ่งมีอยู่ถึง 30-40% ได้รับประโยชน์ สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่หันมาทำยาเส้นได้มากขึ้น
ในขณะที่กรมสรรพสามิตจำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีมาดูแลสุขภาพของผู้บริโภค โดยการเก็บภาษีสินค้าที่ทำลายสุขภาพ เช่น บุหรี่ และ ยาเส้น ให้สูงขึ้นเพื่อให้คนลดการบริโภค แต่การขึ้นภาษีแต่ละครั้ง กลับทำให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ดังกรณีของชาวไร่ยาเส้นที่ออกมาคัดค้านการขึ้นภาษียาเส้นทีเดียว 20 เท่าแบบพรวดพราด เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เพราะทำให้ได้รับความเดือดร้อนจากการขายใบยาให้ผู้ประกอบการไม่ได้
ในที่สุด กรมสรรพสามิตต้องตัดสินใจยูเทิร์นออกมาตรการปรับลดภาษียาเส้นลง ภายหลังประกาศขึ้นภาษีไปได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่ยาเส้นที่ต้องขาดรายได้เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ปฏิเสธไม่รับซื้อยาเส้นจากชาวไร่เพราะภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น
ถือเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างฉับไว เมื่อเห็นว่านโยบายที่ออกมาสร้างภาระให้กับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ก็ตัดสินใจปรับเปลี่ยนเพื่อลดผลกระทบของคนที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังต้องตั้งคำถามถึง “ความเสมอภาค” ในมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาลชุดนี้ ว่ามีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินใจอย่างไร
เพราะกรณีของชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษียาสูบขึ้นในช่วงปลายปี 2560 โดนลดโควตารับซื้อใบยาลงไป 50% จนรัฐบาลต้องควักงบกลางกว่า 159 ล้านบาท จ่ายชดเชยให้ชาวไร่ แต่กรมสรรพสามิตกลับยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษียาสูบ 40% ตามกำหนดในเดือน ต.ค.ปีหน้า ทั้งๆ ที่เกษตรกรชาวไร่ยาสูบเองยังคงถูกลดโควตารับซื้อใบยาต่อเนื่องเป็นปีที่สอง จนต้องไปรวมตัวกันอีกครั้งหน้ากระทรวงการคลังเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทวงถามความคืบหน้าการยกเลิกภาษีบุหรี่ 40% และมาตรการช่วยเหลือเยียวยาชาวไร่ที่ได้รับผลกระทบเพราะนโยบายของภาครัฐ
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังเคยพูดถึงการทำแผนขึ้นภาษียาสูบ การจ่ายเงินชดเชยชาวไร่ยาสูบ และการส่งเสริมการปลูกพืชทดแทน เช่น กัญชง ให้กับชาวไร่ยาสูบ แต่มาตรการเหล่านี้กลับยังไม่มีความชัดเจนและไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม
ทั้งๆ ที่การปลูกยาเส้น-ยาสูบก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เกษตรกรชาวไร่ก็มาจากพื้นที่ใกล้เคียงกัน ความเดือดร้อนของทั้งชาวไร่ยาเส้น-ยาสูบ มีต้นตอมาจากนโยบายด้านภาษีของรัฐบาลเหมือนๆ กัน ดังนั้นการช่วยเหลือแต่ชาวไร่ยาเส้นด้วยการลดภาษี แต่กลับเดินหน้าขึ้นภาษีชาวไร่ยาสูบอีกเท่าตัวดูจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ชาวไร่ทั้ง 2 ประเภท ต่างได้รับความเดือดร้อนทั้งคู่ แต่เหตุใดจึงเลือกช่วยชาวไร่ยาเส้นกลุ่มเดียว
กระทรวงการคลังคงต้องตอบคำถามให้ได้ว่านโยบายภาษีแบบนี้จะลดความเหลื่อมล้ำให้กับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบได้อย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี