“เกิดคำถามจากประชาชนว่า เรียกร้องให้ออกมาประชาชนตายไปเท่าไหร่แล้ว การเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชน จัดทำโดยประชาชน และทำเพื่อประชาชน จำเป็นต้องให้ประชาชนออกมาแต่ออกมาแล้วตายก็ไม่โอเค ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองใดมีค่าพอที่เราจะตายเพื่อมัน เราไม่อยากให้มีใครตายเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง แต่เราอยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาสู้”
คำพูดของช่อ-พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกสมยศ พฤกษาเกษมสุข “สั่งสอน” ไปแล้ว จนช่อต้องออกมาชี้แจงว่า “สิ่งที่ตั้งใจจะสื่อ และได้เคยพูดมาแล้วในหลายเวทีคือ
1. การต่อสู้บนท้องถนน เป็นสิทธิ์ของประชาชน ต้องทำได้ ประชาชนต้องช่วยกันทำลายความคิดที่ว่าการประท้วงบนถนน=ม็อบ, = วุ่นวาย รุนแรง เศรษฐกิจพัง การประท้วงเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย และไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยความรุนแรง ไม่ต้องมีใครตาย
2. การสูญเสียชีวิตจากการต่อสู้ทางการเมือง เป็นเรื่องไม่ควรเกิดขึ้น อุดมการณ์ที่แตกต่างและการต่อสู้เรียกร้องเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองไม่ควรเป็นเหตุให้ใครต้องตาย เราควรจะสู้โดยที่ได้รับการปกป้องจากรัฐว่านี่คือสิทธิพลเมือง
แน่นอนว่าในการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา การประท้วงหลายครั้ง มีคนเจ็บ ตายมากมาย ช่อไม่เคยคิดจะดูเบาคนที่ตายจากการสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น 99 ศพในปี 2553 หรือคนอย่างลุงนวมทองหรือคนที่ตายในเหตุการณ์เดือนตุลา นี่คือความสูญเสียที่น่าเศร้าและไม่ควรเกิดซ้ำ ไม่ควรมีใครต้องตายหรือบาดเจ็บจากการยืนยันในอุดมการณ์ประชาธิปไตย หลายคนอาจมองว่าถ้าอยากได้การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ ก็ต้องทุ่มเท เอาชีวิตเข้าแลก เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลาน ช่อคิดว่าการทุ่มเท เอาทั้งชีวิตของเราอุทิศให้กับการเปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่เราควรทำทุกวิถีทาง ป้องกันไม่ให้การทุ่มเทนั้นต้องไปถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อชีวิตเพื่อแลกมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เราหวัง เพราะช่อเชื่อแน่ว่าไม่มีใครมีเป้าหมายสูงสุดในการต่อสู้ทางการเมืองคือความตาย เป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงต่างหาก
เป็นความผิดพลาดของช่อเองที่ใช้คำพูดไม่ระมัดระวัง จนทำให้เกิดการตีความไปว่าช่อดูถูกผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บในการต่อสู้ทางการเมือง ขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมดไปปรับปรุงค่ะ”
ช่อเป็นแบบนี้อยู่แล้ว คือ พูดโพล่งออกมาก่อน แล้วค่อยมาแก้ทีหลัง เช่นเดียวกับคำว่า“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เฮงซวยทุกมาตรา”
วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา หน้าเพจของพรรคอนาคตใหม่ ได้กล่าวถึงเหตุการร์การเสียชีวิตของนายไพรวัลย์ นวมทอง (ซึ่งครั้งหนึ่ง นปช. ก็เคยใช้เขาคนนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาก่อน) โดยมีข้อความว่า...
[ 30 กันยายน 2549 : ยามเช้า ]
11 วัน หลังการรัฐประหารครั้งที่ 12 ของประเทศไทย
ด้วยความกล้าหาญที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้
ชายวัย 60 ปี ขับรถแท็กซี่ โตโยต้า โคโรลล่าสีม่วง รอบคันรถเปรอะเปื้อนไปด้วยสีสเปรย์ที่พ่นข้อความต่อต้านการรัฐประหาร พุ่งเข้าชนรถถัง M41A2 Walker Bulldog ป้ายทะเบียนตรากงจักร 71116 ของกองทัพคณะรัฐประหาร หวังที่จะสละชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของตนเอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญยึดอำนาจจากประชาชน
ชายคนดังกล่าวอาการสาหัส แต่ยังไม่ถึงกับชีวิต
บ่ายวันถัดมา รองโฆษกคณะรัฐประหารออกให้สัมภาษณ์สื่อดูแคลนถึงกรณีดังกล่าวว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้”
[ 31 ตุลาคม 2549 : ยามวิกาล ]
19 วันหลังออกจากโรงพยาบาล พบร่างไร้วิญญาณของชายคนเดิมแขวนอยู่ใต้สะพานลอย
ครั้งนี้ จดหมายลาตายในกระเป๋าเสื้อเขียนไว้ชัดเพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนทราบว่า ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตภายภาคหน้า จะยังมีผู้คนที่ยอมแลกชีวิตอันมีค่าของตน เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณค่าแห่งอุดมการณ์ ชายคนนี้มีนามว่า “นวมทอง ไพรวัลย์”
[ 22 พฤษภาคม 2557 : เวลากลางวัน ]
8 ปี หลังการตายของคุณ “ลุงนวมทอง”
เกิดรัฐประหารครั้งที่ 13 ขึ้นในประเทศไทย นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา
แน่นอนว่า มีคนคัดถ้อยคำของ “ช่อ” ไปตั้งคำถามกับข้อความนี้ด้วย
ช่อผู้บอกว่า...
“ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองใดมีค่าพอที่เราจะตายเพื่อมัน”
และก็แน่นอนอีก ที่มีประหวัดถึง “คำสั่งสอน” ของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เขียนถึง “ช่อ” ว่า...
“การพูดที่ว่า ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนเพราะนำมาสู่ความตายนั้น เป็นการมองข้ามอาชญากรรมของรัฐที่เข้ามาปราบปรามประชาชนด้วยการเข่นฆ่าให้ตายบนท้องถนน เป็นการกล่าวโทษต่อประชาชนที่รักประชาธิปไตยที่ดัน(เสือก)ไปเดินขบวนเป็นเหตุให้ถูกยิงเสียชีวิต เป็นตรรกะเหตุผลแบบเดียวกันกับพวกเผด็จการที่ต้องการปราบปรามประชาชน
“พรรคอนาคตใหม่ ควรให้ความรู้นักการเมืองรุ่นใหม่ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และนำนักการเมืองเมื่อวานซืนเหล่านี้ไปปรับทัศนคติเสียใหม่ จะได้มีอนาคตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม”
ทัศนะความคิดที่ไปตำหนิการลงถนนแบบนี้กำลังระบาดไปในหมู่นักการเมือง นับเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง เป็นการลดทอนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนลงไปอย่างสิ้นเชิง
“หากไม่มีการต่อสู้บนท้องถนนของประชาชน จะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรให้นักการเมืองเมื่อวานซืนได้มองโลกสวยแบบนี้อย่างแน่นอน” สมยศย้ำคำว่า “นักการเมืองเมื่อวานซืน” อย่างชัดๆ
อยากให้ทุกคน “คิดต่อ” ว่า...
1) เคยเห็นทั้งช่อและสมยศ กล่าวถึง “ประชาธิปไตยที่เลวทราม” ที่เป็นเหตุให้ประชาชนออกมาต่อต้าน และเปิดประตูสู่การรับประหารบ้างไหม ประชาธิปไตยหรือรัฐประหาร ไม่ได้ดีงามหรือเลวทรามที่ตัวมันเอง แต่อยู่ที่ “การใช้” ทันทีที่มีรัฐประหาร ทำไม “ประชาธิปไตย” จึงสวยงามผุดผ่องขึ้นมาทันทีล่ะ ทั้งๆ ที่ความเหลวแหลกของประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ ที่นำมาซึ่ง “โอกาสทำรัฐประหาร”
2) แน่นอนว่า คณะรัฐประหารหลายชุดใช้อำนาจและงบประมาณแบบ “ตรวจสอบไม่ได้” และมีจำนวนหนึ่งด้วย ที่ “สืบทอดอำนาจ” ปูทางรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ของ “ประชาธิปไตย” อย่างไม่สง่างาม การพยายามตรวจสอบรัฐประหารและ “ปิดประตู” การรัฐประหาร จึงไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าให้มันเลวทรามวิปริตเฉพาะ “รัฐประหาร” จนลืมไปว่า ประชาธิปไตยที่เลวทรามก็เกิดขึ้นด้วยในบ้านเมืองของเรา
3) ความตายของลุงไพรวัลย์ ไม่ควรเป็นแค่เครื่องมือ “หาประโยชน์ทางการเมือง” ของใคร แต่เป็นความน่าสังเวชและเศร้าใจ ถึงขั้นที่เราต้องถกเถียงกันถึง “ประชาธิปไตยที่ดี” ด้วย
4) ประชาธิปไตยที่ดี ย่อมไม่ใช่การเอาอำนาจไปหาประโยชน์ในลักษณะที่เรียกว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย” ซึ่งเกิดขึ้นหลายรูปแบบในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และชัดๆ คือ “จำนำข้าว” ที่ก็มีการทุจริตหนักหน่วงมาก สมยศกับช่อเคยตำหนิ เคยวิจารณ์ไหมครับ นั่นรวมถึงการใช้สภาออกกฎหมาย “ปล่อยคนผิด”และ “หมกศพคนตาย” อย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย ทำไมแกนนำ นปช. และผู้เกี่ยวข้องหลายคนที่มีสิทธิต่อสู้ในสภาไม่สู้ ทำไมเลือก “วางเฉย” ด้วยการ “งดออกเสียง” ตอนลงมติ 99 ศพทางการเมืองที่นับเหมาหมด แห่แหนเอามาใช้ประโยชน์ทางการเมืองไม่ต่างจากมหาแมวจรจัด ที่ตายแล้วตายไป ไม่ต้องรู้ว่าใครทำใครฆ่า พ.ร.บ.ดังกล่าวตัดโอกาส “รู้ความจริง” และ “เอาผิดคนฆ่า” นั่นคือ “ประชาธิปไตย” ห่าเหวอะไรมิทราบ!!
5) ประชาธิปไตยที่ดี ย่อมไม่ใช่การสร้างแคมเปญหาเสียงในช่วงไม่กี่วันก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้งเล่นบทใหญ่ว่าจะยกระดับมาตรฐานการเมืองไทย ด้วยการโอนทรัพย์สินเข้าบลายด์ ทรัสต์ แต่ถึงเวลากลับอ้างว่า ยังไม่ได้เข้าสภาทำหน้าที่ สส. ดังนั้นจึงยังไม่โอน ย่อมไม่ใช่การแถลงข่าวใหญ่โตว่ามีคนมาซื้อ สส. ของพรรคตัวเอง แต่ไม่ดำเนินคดี ปล่อยให้พวกมันลอยนวล ย่อมไม่ใช่การบอกว่า มีคนโทรมาหาแม่ แล้วขอแบ่ง สส. แต่ไม่เอาหลักฐาน มาเปิดเผย ไม่กล่าวโทษ เอาผิด เหมือนที่ธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ “ช่อ” และพรรคอนาคตใหม่ทำ
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ “เปลือก” หรือ “รูปแบบภายนอก” แต่มันมีกระบวนวิธีและจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมัน หากเราได้เจอลุงไพรวัลย์กันก่อนหน้านั้น แล้วทำให้ท่านได้เห็นถึง “ประชาธิปไตยเหลวแหลก” ซึ่งต้อง“แก้ไขไปด้วยกัน” ท่านอาจยังอยู่ และร่วมผลักดันทั้งเพื่อปิดทาง “รัฐประหาร” และจัดการกับ “ประชาธิปไตยสารเลว” โดยไม่ต้องให้ใคร “ฉกฉวย” เอาความตายของท่านไป “หาดี” ก็ได้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี