ผมเคยสอนผู้นำมากว่า 20 ปี ยิ่งสอนก็ยิ่งจะต้องพร้อมปรับตัวเรียนรู้ตลอดเวลาว่า สถานการณ์ต่างๆ สร้างผู้นำแตกต่างกันไป
ปัจจุบัน ทรัมป์เป็นผู้นำประเภทที่หลงอำนาจ ชนิดที่ผมเรียกว่า Ego, Hero, Leader คือ ตัวฉันเอง ฉันได้รับเลือกมาแล้ว คนอื่นยุ่งไม่ได้ ดูปัญหาล่าสุด ถอนทหารจากซีเรีย ทำให้วุ่นวายทั้งโลก ยังมีผู้นำอีกหลายคนในโลกเริ่มทำตัวเช่นทรัมป์กลายเป็นโรคติดต่อไปแล้ว เช่น บอริส จอห์นสัน หรือประธานาธิบดีคนปัจจุบันของประเทศโปแลนด์
ประเทศไทยก็เช่นกัน ถ้าอยู่ไปนานบิ๊กตู่อาจจะคิดว่า ฉันคือฮีโร่ ขาดฉันไม่ได้ ฉันเกิดมาแก้วิกฤติมา หรือมีเด็กเมื่อวานซืนเช่นคุณธนาธรคิดว่า โลกนี้ต้องรุ่นใหม่อย่างฉันเป็นฮีโร่ แก้ปัญหาโลกได้ ขอเตือนไว้ จงอย่าเป็นผู้นำที่ไม่ฟังใครผมก็ยังสนับสนุนนายกฯตู่อยู่ในปัจจุบัน แต่ท่านก็ต้องปรับตัวให้เหมาะกับสถานการณ์
ในขณะที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพระองค์จากพวกเราไป 3 ปีแล้ว พระองค์ท่านยังอยู่ในหัวใจพสกนิกรยังระลึกถึงความดีงามของพระองค์ท่าน หนังสือฝรั่งชื่อ Good to Great กล่าวว่า ผู้นำระดับสูงสุดไม่ใช่ผู้นำดังที่กล่าวมาแล้ว แต่เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตธรรมดา แต่มีอิทธิพล โดยตนไม่ต้องยิ่งใหญ่เพราะคนเขาเคารพในการใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วๆ ไปบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คนนี้คือผู้นำตัวจริง
จากหนังสือ Good to Great ผู้นำระดับสูงสุดคือบุคคลที่สมถะและไม่มีการสั่งการอะไรเลยแต่ทรงไว้ซึ่งพลังอันแท้จริง
ผู้นำ 5 ระดับ
จึงอยากให้ผู้อ่านช่วยกันคิดว่า ประเทศไทยในอนาคตต้องการผู้นำที่เดินสายกลาง ทหารหรือพลเรือนก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ทำให้คนอื่นมีบทบาท ให้เกียรติ ไม่ต้องออกความเห็นในทุกๆ เรื่อง การเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีคือ ชนิดที่ ปีเตอร์ เซงเก้ กูรูของอเมริกา เรียกว่า ผู้นำที่ Empower หรือมอบอำนาจให้ทีมงานมีบทบาทอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้ที่คำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก
ผมคิดว่า บิ๊กตู่เริ่มเข้าใจแล้วว่า ในยุคประชาธิปไตย ท่านแบ่งปันอำนาจให้หลายๆพรรคการเมืองมากขึ้น ผมยังอยากให้ผู้นำอย่างบิ๊กตู่สร้างประเทศไปสู่ความปรองดอง ยั่งยืนไม่มีการแตกแยกเป็นผู้นำที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี มีทุนทางอารมณ์ (Emotional Capital) ต้องยอมรับว่า ท่านทำได้ดีพอควรช่วงนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรมเกี่ยวกับนักเรียน 2 แห่งอยากจะแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ
เรื่องแรก เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว มูลนิธิเราจะเป็นคนดีได้เชิญนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมศึกษา 18 แห่ง รวมทั้งสิ้น 200 คนซึ่งผมได้ทำเป็นเวลา 8 ปีแล้ว ผมมีหน้าที่เปิดงานกล่าวนำเรื่องอนาคตของประเทศไทย 4.0 และการปรับตัวของนักเรียน
ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง นักเรียนทั้ง 18 โรงเรียนสนุกและมีความสุขกับการเรียนและทำงานกลุ่ม สรุปได้ดี กว่าจะจบใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมง
สำหรับนักเรียนกลุ่มนี้ น่าสนใจว่า ต้องเตรียมตัวสำหรับ4.0 ซึ่งอาจจะสายไปแล้ว เพราะอาจจะถึง 5.0 เร็วๆ นี้ 3.0 มาถึง 4.0 ใช้เวลาแค่ 30 ปี คือช่วงอินเตอร์เนตใหม่ๆ มาถึงเอไอ (AI) แต่ช่วงนี้ เอไอ (AI) กับการใช้ 5G ซึ่งประเทศจีนนำ ได้ทำ 5G มาเร็วกว่าที่คิด
ยอมรับว่า เด็กอายุ 15-16 ปี เขาเข้าใจปรับตัวให้เข้ากับ 4.0 ได้ดีกว่ารุ่นเก่าอย่างเรามาก แต่ที่เขาต้องปรับตัวก็คือ ก่อนจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ ต้องเตรียมพร้อมให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น คือ จะต้องปรับ Mindset ก่อน
ผมจึงบอกเขาว่า Mindset คือ ความคิดที่ฝังอยู่ข้างในเรามี 2 อย่างคือ Fixed กับ Growth Mindset เปลี่ยนได้กับเปลี่ยนไม่ได้ แตกต่างกัน ถ้านักเรียน ครู ผู้ปกครองปรับ Mindset ได้ จะประสบความสำเร็จ
การปรับตัว 4.0 คือ มี AI มี Internet of Things เด็กต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น การที่จะทำสำเร็จ จะต้องปรับข้างใน คือ ปรับความคิดหรือ Mindset ก่อน จึงแก้ปัญหาได้ คิดเป็นระบบ เช่น คนเรียนไม่เก่ง อย่าคิดว่า แพ้คนเก่งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ควรสำรวจตนเองว่า ปัญหาของเราคืออะไร ขาดความเข้าใจอะไร ขยันน้อยไป ไม่เอาจริง ก็ปรับเสียใหม่ เรียกว่า ปรับจาก Fixed เป็น Growth Mindset คนไม่เก่ง ถ้าเข้าใจแนวความคิดข้างในว่า เรามีปัญหา แต่ตั้งจิตใจให้แน่วแน่และอุปสรรคก็ข้ามมันไปได้
เช่นผมเคยเรียน English I ที่มหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นวิชาที่ยากมาก ผมสอบกลางเทอมตกตลอด แต่ปรับ Mindset ว่า จะไม่ยอมแพ้ อดทน หาทางออก ไม่ยอมแพ้อย่างเดียว แต่ปรับ Mindset ทำให้ผมไปสู่การเอาชนะอุปสรรคได้
ผมจบเศรษฐศาสตร์ใหม่ๆ ช่วงแรก คนเรียนวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์คิดว่า ผมคงมีความรู้สู้เขาไม่ได้ ถูกถล่มอยู่เป็นประจำ ผมก็ปรับ Mindset ว่า เรียนวิชาอะไรไม่สำคัญ ถ้าเรารู้จริง ไม่ต้องกลัว ก็สู้ได้ เพราะปรับความคิด Mindset ว่าจบอะไรไม่สำคัญ สำคัญว่า รู้จริงหรือเปล่า
ในขณะที่คนเรียนเก่งที่ไม่เข้าใจโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว จะต้องปรับ Mindset คนเก่งที่มี Fixed Mindset จะประมาท ผมเห็นคนเรียนสอบได้คะแนนดี แต่ล้มเหลวมากมาย เพราะคิดว่าเก่งแล้ว ไม่ต้องปรับตัว น่าเสียดายมากๆ
นอกจากนั้น นอกจากนักเรียนแล้ว ครูและผู้ปกครองควรจะปรับ Mindset ด้วย ถ้าผู้ปกครองดูแต่คะแนนสอบ ไม่ดูวิธีการอย่างอื่นๆ เช่น ลูกทำงานเป็นทีมหรือไม่ ลูกเรียนแล้วมีความสุขไหมเครียดไหม ผู้ปกครองบางคนคือปัญหาเพราะส่วนใหญ่ไม่ยอมปรับ Mindset ไม่ยอมเปลี่ยนดูแต่คะแนนสอบ
เด็กยังได้อิทธิพลจากครูด้วย ครูบางคนก็มี Fixed Mindset สอนแบบเดิม หลักสูตรบางแห่งล้าสมัยไปแล้ว ให้การบ้านแบบ 1+1=2 ไม่ใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือเรียนนอกห้อง ปัจจุบันการเรียนจะต้องเต็มไปด้วยความคิดนอกกรอบจึงขอฝากประเด็นเหล่านี้
ส่วนเรื่อง Knowledge Camping Debsirin รุ่น 16 ของชาวเทพศิรินทร์คราวหน้า มีเรื่องน่าสนใจมากจะเรียนให้ทราบครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี