พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปพร้อมพระราชโอรส 11 พระองค์
สัปดาห์นี้ คนไทยทุกคนน้อมเกล้ารำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันอเนกอนันต์ต่อปวงชนชาวไทย
เรื่องแรกคือเรื่องการเลิกทาสที่พระองค์ท่านทรงทำได้โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐฯกลายเป็นสงครามกลางเมืองและพระองค์ทำอย่างฉลาดแบบค่อยๆ ทำเป็นช่วงๆ
ทรงสิทธิเสรีภาพให้เท่ากันระหว่างมนุษย์ไม่ใช่มีมนุษย์ไว้เป็นทาส ซึ่งทำให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีพระปรีชาญาณมองการณ์ไกลมาก
เรื่องที่สองที่เรามักจะพูดเรื่อง Globalization โลกาภิวัตน์ในยุคหลัง เช่น เรื่องการเลิกกีดกันทางการค้า หรือเรื่องอินเตอร์เนต แต่พระองค์ท่านทรงปกครองประเทศโลกาภิวัตน์ตั้งแต่รัชสมัยของท่านมานานแล้วโดยการเสด็จประพาสไปทรงสร้างสัมพันธไมตรียังหลายประเทศโดยเฉพาะเสด็จประพาสในยุคพระองค์ก่อนทรงใช้เวลาเป็นเดือน เช่นครั้งเสด็จฯไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเชีย นโยบายของพระองค์ทรงได้พาให้ประเทศรอดพ้นจากจักรวรรดินิยมของตะวันตก นับเป็นการริเริ่มโลกโลกาภิวัตน์ในช่วงแรกๆ ของโลก
ประเด็นที่ 3 คือพระองค์ท่านทรงมีสายพระเนตรวิสัยทัศน์กว้างไกล ทรงนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าดังที่เห็นว่าประเทศไทยในยุคหลังต้องมีการพัฒนาเท่าเทียมเป็นอารยประเทศอย่างก้าวไปข้างหน้า ตัวอย่างที่สำคัญคือเรื่องทรงสร้างการรถไฟ ซึ่งประเทศไทยสามารถทำได้ดีมากๆ และนำประเทศอื่นๆ ในโลกเอเชีย นอกจากนั้นยังมีการปฏิรูประบบภาษีอากร และการบริหารประเทศแบบสมัยใหม่ในหลายด้าน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จฯถึงรัสเซีย และเสด็จฯเยือนพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2
ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ท่านทรงมีวิชาการที่ต่อยอดเรื่องการรถไฟมาถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนวิศวะรถไฟ มีพระราชโอรสหลายพระองค์และทรงส่งข้าราชการไปศึกษาด้านวิศวะรถไฟอย่างต่อเนื่องและด้านอื่นๆ ด้วย
สุดท้าย พระองค์ทรงส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาต่างประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก“กรมหลวงสงขลานครินทร์ “พระราชบิดาของ ร.9” เสด็จฯไปศึกษาต่อทางทหารเรือที่เยอรมัน เมื่อเรามีปัญหาแพ้สงครามพระองค์ทรงไปศึกษาด้านการแพทย์ต่อที่ฮาร์วาร์ด ทำให้การแพทย์ของไทยเจริญมาก และยังมีพระราชโอรสหลายๆพระองค์ได้เสด็จฯไปศึกษายังต่างประเทศ
กล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ทรงเป็นบิดาของการพัฒนาทุนมนุษย์และถ่ายทอดมาต่อเนื่องถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.9)และจนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.10) ในเรื่องสืบสานรักษา ต่อยอด รวมถึงเรื่องจิตอาสา
ผมขอถือโอกาสแบ่งปันความรู้ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ทั้ง 10 แห่ง ซึ่งได้ทำร่วมกับโรงเรียนมากว่า 16 ปีแล้ว อย่างมีความสุขมากที่การทำแคมป์ได้ทำอย่างต่อเนื่อง นายสุพจน์ หล้าธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์และนายจงจิตร ดวงสนาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ขอนแก่น และผู้อำนวยการโรงเรียนทั้ง 10 แห่ง ได้ให้ความสนใจอย่างดีมาก และได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก คุณสำเร็จโชติมงคล นายกสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ดำเนินการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟ โดยมีการตกลงทำสัญญาเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2430
มีพิธีเปิดอย่างสมเกียรติ โดย ศาสตราจารย์พิเศษ อรรถนิติดิษฐอำนาจ องคมนตรี นักเรียนเก่าของเรามากล่าวเปิด ท่านได้กล่าวย้ำถึงความดี เน้นคุณธรรมจริยธรรม การเป็นคนดีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ประวัติอันยาวนานของโรงเรียนด้วย
จากนั้นผมได้เป็นองค์ปาฐก เรื่อง 8K’s, 5K’s ยุคใหม่ให้เห็นทุนมนุษย์รองรับ 4.0 ต้องเข้มข้นขึ้นโดยเฉพาะจริยธรรมเก่งอย่างเดียวไม่พอต้องมีธรรมาภิบาลด้วย ตัดปัญหาความเหลื่อมล้ำและยังมองไปว่า 8K’s, 5K’s อาจจะไม่พอเพราะทุนแบบ Hybrid Capital ก็สำคัญคือมนุษย์กับเครื่องจักรทำงานร่วมกันหรือที่เรียกว่าทุนความสัมพันธ์ Intergeneration Capital ทำแล้วให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้น เด็กต้องทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ ต้องทำอย่างฉลาด สุภาพ เรียบร้อย เข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งของแต่ละกลุ่มอายุมีการทำงานเป็นทีม โดยเน้นเรื่อง Value Diversity ซึ่งยุคต่อไป ต้องให้ความหลากหลายเป็นพลัง ไม่ใช่เป็นการขัดแย้ง
รู้สึกดีใจที่ผู้จัดคือทีมเดิมที่ทำมากว่า 16 ปี นำโดยกลุ่มนักเรียนเก่า นำโดย อ.กฤช สินอุดม ครั้งนี้ให้ครูทั้ง 10 โรงเรียนมาแสดงความเห็นเป็นครั้งแรก และมีนักเรียนทั้ง 10 โรงเรียนร่วมฟังด้วย ได้เห็นศักยภาพของครูเทพฯรุ่นใหม่ว่า มีความมุ่งมั่นสูงคงจะต้องมีการพัฒนาครูต่อไป แต่ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจ สรุปว่าเทพศิรินทร์ 10 หรือเทพฯเป็นหนึ่งจะพัฒนาผู้ปกครอง, นักเรียนและครูไปพร้อมกัน ผมสัญญาว่าจะไปเยี่ยมโรงเรียนทั้ง 10 แห่ง แห่งละ 1 วันและจะมีการ Coaching and Mentoring ทั้ง 3 กลุ่มเพื่อเป็นการต่อยอด ผมพบว่าเด็กทั้ง10 แห่ง ถ้ารู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องให้พ่อแม่และครูรับทราบด้วยและต้องปรับ Mindset ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จ
วันสุดท้ายเป็นวันที่ 4 ให้เด็ก 8 กลุ่ม มาสรุปให้ผมและผู้ใหญ่ของเทพศิรินทร์ฟังด้วย มีรายละเอียดมากคงสรุปในนี้ไม่ได้ แต่สามารถอ่านใน FB ของผมได้ เด็กรุ่นใหม่ จะทันเหตุการณ์ โดย Social Media เรียนรู้จะไม่เป็นรองใคร แต่ก็ต้องระวังเรื่อง Social Media ที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปการเมืองในอนาคต เราต้องปฏิรูปการเมืองโดยดูประวัติศาสตร์การเมืองให้รอบคอบ เพราะการโจมตีว่าปฏิรูปการเมืองไม่สำเร็จหลัง ปี 2475 เพราะมีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อยมีส่วนถูกบ้าง แต่ต้องเข้าใจว่ามีประชาธิปไตยมากเกินไปก็มีปัญหา เช่น การออกกฎหมายตี 4 หรือการจำนำข้าวขาดทุน 6 แสนล้าน เป็นต้น คิดว่าเด็กรุ่นนี้ถูกอิทธิพลจากพรรคการเมืองบางพรรคทาง Social Media ในทางเดียวมากเกินไป จึงต้องระวัง
แต่เรื่องอื่นๆ เช่น อนาคตทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และวิทยาศาสตร์ จะปรับตัวอย่างไร? (Transformation) พูดได้ดีและตรงประเด็น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี