กรณี สส. ชลบุรี ป้ายแดง กวินนาถ ตาคีย์ แห่งพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้รับเลือกตั้งจากชลบุรี เขต 7 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยพรรค เพราะได้โหวตในสภาสวนกับมติของพรรคถึงสองเรื่องในสัปดาห์เดียวกัน คือ โหวตเห็นชอบตามที่รัฐบาลเสนอทั้งเรื่องการออกพระราชกำหนด และเรื่องพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563
มีปัญหาให้พิจารณาว่า เหตุผลที่เธออธิบายกับประชาชนว่า ที่ทำไปเพราะต้องการให้ทีมงานในพื้นที่ทำงานได้สะดวก และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากขึ้น การโหวต “งดออกเสียง” กับ “เห็นด้วย” ตามที่รัฐบาลเสนอมีผลไม่ต่างกัน ถ้าเราไปโหวต “ไม่เห็นด้วย” ประชาชนก็จะถามว่าเราไม่อยากให้พื้นที่พัฒนาใช่หรือไม่
ฟังเหตุผลแล้วถ้าสรุปไม่ผิด ก็คือ เธอต้องการโหวตตามรัฐบาล จะได้มีงบประมาณแผ่นดินไปใช้ในพื้นที่
ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ออกมาประกาศ จะต้องมีการสอบสวนว่าเป็นการกระทำที่ผิดวินัยของพรรคหรือไม่ และในขณะนี้ขอให้ยุติการทำกิจกรรมกับพรรคจนกว่าจะได้รับทราบคำวินิจฉัย
มติพรรค จุดยืนของสส. และความต้องการของพื้นที่
3 สิ่งข้างต้น หากมีความขัดแย้งในข้อสรุปที่ไม่ตรงกัน ย่อมจะเกิดความยากลำบากกับผู้ที่เป็น สส. หรือผู้แทนของประชาชน เพราะหากพรรคมีมติอย่างหนึ่ง แต่ตัว สส. ต้องการจะลงมติอีกอย่างหนึ่งที่สวนทางกัน ก็ย่อมจะเกิดความยากลำบากในการทำงาน
หากความต้องการของตัว สส. และความปรารถนาของประชาชนในพื้นที่ มีความเห็นให้โหวตต่างกันก็เป็นความยากลำบากของผู้แทนหรือสส.
แต่ที่ได้รับฟังคุณกวินนาถอธิบาย ก็ยังไม่ชัดเจนว่าที่โหวตสวนทางกับพรรคเป็นไปด้วยหลักการและเหตุผลอะไรกันแน่
หากจำกันได้ว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศจุดยืนว่าไม่เลือกคนของระบอบทักษิณเป็นนายกฯ และไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติเข้าร่วมเป็นรัฐบาลผสม คุณอภิสิทธิ์ก็มีปัญหาหนักหน่วงมากยิ่งกว่าคุณกวินนาถ กล่าวคือ
1) มารยาทในการร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีมติให้ สส.โหวตเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
2) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก
ก็เท่ากับเป็นสัญญาประชาคม จนได้รับคะแนนเลือกตั้งทั่วประเทศ 4 ล้าน 9 แสนเสียง เมื่อคุณอภิสิทธิ์ประกาศชัดเจนเยี่ยงนี้
ก็พออนุมานได้ว่า ผู้ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์คงจะไม่เห็นด้วยที่จะให้เลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก
3) จุดยืนและเจตนาของคุณอภิสิทธิ์ก็ได้ประกาศความเห็นส่วนตัวแล้วว่า จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ
ด้วยเหตุนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงได้ประกาศลาออกจากการเป็นสส.พรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากยังคงเป็น สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในวาระที่เลือกนายกรัฐมนตรี คุณอภิสิทธิ์ก็คงเกิดความขัดแย้งระหว่าง มารยาทในการร่วมรัฐบาลและมติพรรคที่ให้โหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ กับเจตนาของตนเองและความต้องการของประชาชนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์
เพื่อรักษาพรรคประชาธิปัตย์ที่ตนสังกัด คุณอภิสิทธิ์เลยประกาศลาออกจากการเป็น สส. เพราะถ้าเป็น สส. โหวตตามอุดมการณ์ของตนและประชาชนที่เลือก ก็จะเป็นการโหวตสวนมติของพรรค แต่ถ้าโหวตตามมติพรรคก็จะขัดแย้งกับหลักการของตนและสัญญาประชาคม
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิได้มีความมุ่งหวังให้คุณกวินนาถ ตาคีย์ สส.พรรคอนาคตใหม่ มีอุดมการณ์และความกล้าหาญดั่งเช่นคุณอภิสิทธิ์ คือ ลาออกจากการเป็น สส. เพราะดูรูปการณ์แล้วเธอไม่น่าจะลาออก แต่หากถูกขับออกก็จะไปสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล
คุณไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้สมัคร สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ โชคดีที่ไม่ต้องเจอปัญหาเช่นเดียวกับคุณอภิสิทธิ์ เพราะเขาสอบตกไม่ได้รับเลือกจากเขตที่ลงสมัคร เลยไม่ต้องตัดสินใจในสิ่งที่ยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม ไอติมหรือพริษฐ์ ได้เขียนหนังสือที่เพิ่งออกวางจำหน่าย ชื่อ “ประชาธิปไตยมีดีอะไร? WHY SO DEMOCRACY” ในบทที่ 4 “ผู้แทนของเรา ควรเป็นผู้นำหรือผู้ตาม?” ซึ่งมีข้อความที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า
“คุณจะโหวตแบบไหน ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อ สวนทางกับสิ่งที่คนเลือกคุณมาต้องการ?”
คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมเชื่อว่า สส. หลายคนทั่วโลกต้องถกเถียงกับตัวเองอยู่เสมอ ก่อนลงคะแนนในสภา
จะทำอย่างไรถ้าคุณเชื่อในสิทธิ์สมรสของกลุ่มเพศหลากหลาย แต่กลุ่มศาสนาคาทอลิกที่เลือกคุณมองว่าผิดกับหลักศาสนา?
จะทำอย่างไรถ้าคุณเป็นนักเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม แต่ชุมชนในเขตพื้นที่คุณต้องการพลังงานราคาถูกจากโรงงานถ่านหิน?
จะทำอย่างไรถ้าคุณต่อต้านการสืบทอดอำนาจ แต่มติของคนในพรรคต้นสังกัดต้องการสนับสนุนรัฐบาลที่คุณมองว่ามีเจตนาสืบทอดอำนาจ?
อีกตอนหนึ่งไอติม หรือพริษฐ์ ตั้งข้อสังเกตว่า
“ผมมองว่าคำถามนี้เป็นคำถามไม่มีผิดมีถูก เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า เรามองผู้แทนที่ดีควรเป็นผู้นำ หรือผู้ตาม หรือถ้าถามให้ลึกกว่านั้น อำนาจอะไรที่ถูกส่งต่อจากประชาชนไปสู่ผู้แทน ณ วันเลือกตั้ง?
ในมุมหนึ่ง ถ้าเรามองว่าการเลือกตั้ง สส. คือการมอบหมายคำสั่ง และการเลือก กระบอกเสียง หรือ Messenger ที่มีหน้าที่เพียงแค่สะท้อน สื่อสาร และตัดสินใจบนพื้นฐานของความคิดเห็นของกลุ่มคนในพื้นที่ เราก็จะมองว่าผู้แทนที่ดีคือ ผู้ตามที่ดี ผู้สามารถรับฟังและรวบรวมความเห็นของคนในพื้นที่ได้อย่างแม่นยำเพื่อลงคะแนนในสภาได้ถูกต้องตามทิศทางที่คนในพื้นที่ต้องการ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าเรามองว่าการเลือกตั้ง สส. คือการมอบหมาย ความไว้วางใจ และการเลือก ที่พึ่งพา อันมีหน้าที่ช่วยไตร่ตรองทุกปัญหาในระดับท้องถิ่นและในระดับประเทศ เพื่อตัดสินใจทุกครั้งบนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนรวมของคนในพื้นที่ โดยความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นเป็นเพียงข้อมูลประกอบที่นำมาใช้ในการช่วยตัดสินใจ แต่ไม่ได้ผูกมัดหรือชี้ขาดว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ก็จะมองได้ว่าผู้แทนที่ดีคือ ผู้นำที่ดี ที่สามารถคิดวิเคราะห์ และประเมินผลได้อย่างแม่นยำที่สุดว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคุณภาพชีวิตของประชาชนบททดสอบที่ดีว่า สส. คนไหนเชื่อในหลักการไหน คือการฟังเหตุผลที่เขาให้เวลาเสนอนโยบายหรือโหวตให้กฎหมายต่างๆ
ถ้าเขาเชื่อว่าผู้แทนที่ดี คือผู้ตามที่ดี เขามักจะให้เหตุผลว่า “นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการ / นี่คือสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง”
ถ้าเขาเชื่อว่าผู้แทนที่ดี คือผู้นำที่ดี เขามักจะให้เหตุผลว่า “นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน / นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรได้รับ”
ไอติมหรือพริษฐ์ ได้สรุปเรื่องนี้ในหนังสือของเขาว่า
“ในมุมมองผม ผมอยากเห็นนักการเมืองพยายามที่จะ สร้างความนิยม มากกว่า ตามความนิยม ตราบใดที่อุดมการณ์ที่เราเลือกให้มาเป็นแกนหลักมาจากการรับฟังและศึกษาความต้องการของประชาชนจริง ตราบใดที่เรามี ความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นและบริสุทธิ์ใจ (Conviction) ว่าอุดมการณ์ที่ยึดมั่นเป็นอุดมการณ์ที่จะแก้ปัญหาประเทศได้ดีที่สุดจริง และตราบใดที่อุดมการณ์นั้น ไม่ใช่แค่ความคิดทางทฤษฎี แต่สามารถแปรรูปไปเป็นนโยบายที่จับต้องได้ เราจะมีจุดยืนที่ชัดเจนกับทุกๆ เรื่องทั้งเก่าและใหม่ที่เข้ามา และประชาชนสามารถคาดเดาได้เสมอว่านักการเมืองคนนี้จะแก้แต่ละปัญหาอย่างไร
ถ้ามองในเชิงอุดมคติ ไม่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแค่ไหน ทั้งในมิติปัญหาเชิงโครงสร้างใหม่ๆ ที่เข้ามา หรือในมิติเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกค้นพบ รวมถึงคะแนนเสียงอันขึ้นๆ ลงๆตามธรรมชาติของการเมือง ผมเชื่อว่า เมื่อเราตกผลึกทางอุดมการณ์แล้ว อุดมการณ์เราต้องไม่เปลี่ยน เพราะอุดมการณ์เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านบนเส้นทางการเมืองของเรา
และถึงแม้จะมองในเชิงยุทธศาสตร์ เราก็คงไม่อยากให้อาชีพนักการเมืองถูกทดแทนโดยหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ที่นับวันยิ่งทำงานซับซ้อนได้ดีกว่ามนุษย์ ถ้าเช่นนั้นคงต้องออกแบบอาชีพนักการเมืองให้เป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม เพราะสิ่งที่นักการเมือง
มีโอกาสทำได้ดีกว่าหุ่นยนต์คงไม่ใช่การเป็นผู้ตามที่เพียงรวบรวมความคิดเห็นจากคนในทุกพื้นที่และโหวตตามผลสำรวจในทุกๆ ครั้ง (ในอีกไม่นาน เทคโนโลยีน่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างรวดเร็วและเป็นกลางกว่า) แต่ต้องเป็น ผู้นำทางความคิด ให้กับคนหมู่มากให้ได้ โดยจำเป็นต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมาประกอบ ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนมาจาก ความเป็นมนุษย์ ที่หุ่นยนต์คงทดแทนได้ยาก
จะเป็นนักการเมืองผู้นำหรือผู้ตามก็เลือกเอา
อยากได้นักการเมืองผู้นำหรือผู้ตาม ก็ต้องเลือกเอา
อยู่ที่คุณเลือก...
บทสรุป
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ มิได้ต้องการจะตำหนิ สส.กวินนาถ หรือยุยงให้ สส.กวินนาถลาออก
ขณะเดียวกัน ก็มิได้ยุยงให้พรรคอนาคตใหม่ขับคุณกวินนาถออกจากพรรค เพื่อให้ไปเป็นงูเห่าสีส้มสมเจตนาของใครบางคน
แต่ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากของผู้แทนหรือ สส.ที่มีอุดมการณ์และคิดเป็น
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี