วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เส้นใต้บรรทัด
เส้นใต้บรรทัด

เส้นใต้บรรทัด

จิตกร บุษบา
วันพุธ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562, 02.00 น.
เรื่องที่การเมืองไทยไม่มา ‘สาละวน’

ดูทั้งหมด

  •  

มีเรื่องอีกหลายเรื่อง ที่เป็นปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ที่อยากเห็น “นักการเมือง” ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล หันมา “สาละวน” ใส่ใจ ถกเถียง และนำเสนอกันบ้าง มาจากการเสนอสองหน ของอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล

ครั้งแรก : วันที่ 14 ก.ค. 2562 เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม 14 ตุลา ถนนราชดำเนินกลาง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถา “ 45 ปี 14 ตุลา เรื่องประชาธิปไตยกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า


“...เศรษฐกิจประเทศไทยเหมือนผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง แม้หลายรัฐบาลจะพยายามให้ยาหลายขนานแต่ก็ยังไม่หายขาด สาเหตุมาจากประเทศไทยเผชิญกับปัญหาในหลายด้าน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เห็นว่าต้องเร่งแก้ไข คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ในการกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นมากขึ้น ขณะที่ชุมชนต้องเพิ่มความเข้มแข็ง เพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกรและแรงงานไร้ทักษะ รวมถึงคนระดับฐานราก เพื่อให้สามารถอยู่ได้ เพราะในอนาคตไทยจะประสบปัญหา สังคมผู้สูงอายุ จนตอนแก่เป็นภาระให้กับวัยทำงาน

...ขณะที่ปัญหาการเมืองไทย ในรอบ 10 ปี มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อึดอัดใจ ถูกเลือกข้าง คือ ข้างที่ยังศรัทธาในประชาธิปไตยและข้างที่ความเชื่อมั่นในประชาธิปไตยลดลง เห็นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้นักการเมืองที่ขาดความรับผิดชอบเข้ามากุมอำนาจรัฐ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ แนวคิดประชาธิปไตยจึงผิดไป อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเชื่อว่าประชาธิปไตยยังเป็นระบอบการเมืองที่มีพลัง เพราะยังเป็นระบอบที่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งความศรัทธาในประชาธิปไตยที่สั่นคลอน อาจไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาธิปไตย แต่อาจเกิดจากความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์และประยุกต์ใช้แบบขาดๆ ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งจะสำคัญ แต่ก็เป็นแค่วิธีการที่นำไปสู่ประชาธิปไตย แต่ยังไม่ใช่เป้าหมาย ขณะที่เผด็จการไม่ได้มาในรูปแบบของทหารเท่านั้น แต่มาในทางเศรษฐกิจและความได้เปรียบทางสังคมเป็นเผด็จการที่น่ากลัวกว่า”

นายประสารกล่าวอีกว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้นำในระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีความสามารถในการหาจุดร่วมในความต่างประสานจุดแข็งของแต่ละคนเข้าหากัน และรับฟังความคิดเห็นโดยเฉพาะความคิดเห็นของผู้เห็นต่าง ขณะที่การสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและการมีเศรษฐกิจที่เปิดกว้างเป็นธรรม จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป เพราะยากที่จะแก้เรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ นอกจากนี้ยังควรมองประชาธิปไตยในลักษณะกระบวนการพัฒนาที่มีความต่อเนื่องไม่ใช่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งและไม่ใช่แค่การเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนรัฐบาล แต่ควรมองให้ลึกถึงปัจจัยที่จะนำประชาธิปไตยไปสู่เป้าหมายให้ได้

ครั้งที่สอง : เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การเมือง การคลัง พลังนำประเทศ” จัดโดยสมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนหนึ่งท่านพูดถึง “5 อาการน่าเป็นห่วงของประเทศไทย
ความว่า...

“...พวกเราคงยอมรับว่า ที่ผ่านมาการเมือง-การคลังทำให้ประเทศไทยเดินหน้ามาไกลพอสมควร แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งหลายอย่างนับเป็นความท้าทายทางการเมือง-การคลังไทยในระยะต่อไปอย่างยิ่ง โดยมี 5 อาการสำคัญ คือ

1) อาการแรก คือ ศักยภาพเศรษฐกิจถดถอย

เศรษฐกิจไทยเติบโตได้น้อยลงเหมือนคนแก่ที่เดินได้ช้าลง กล่าวคือ ทศวรรษก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 9 ต่อปี แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเติบโตวนเวียนอยู่ในระดับร้อยละ 4 และหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ที่สำคัญ หมอหลายคนเคยเตือนมาหลายครั้งว่า ต้องหมั่นออกกำลังเพิ่มพลังในตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกระดับศักยภาพแรงงาน การวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการแข่งขัน หรือการปรับบทบาทภาครัฐให้เป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชน แต่กลับไม่ได้ทำต่อเนื่องจริงจัง

2) อาการที่สอง คือ ความเหลื่อมล้ำสุดโต่ง

ผมชอบคำบรรยายความสุดโต่งที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พูดไว้อย่างเห็นภาพว่า “ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องโกง ก็สามารถที่จะรวยได้อย่างเหลือล้น ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศจนได้อย่างเหลือเชื่อโดยไม่ได้เกียจคร้าน” ซึ่งคำกล่าวนี้คงไม่ผิดเมื่อดูจากข้อมูลและผลการศึกษาจากหลายหน่วยงาน พบว่า

คนไทย 10% ที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุดมีรายได้ห่างกันถึง 22 เท่า

คนไทยมากกว่า 75% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ขณะที่โฉนดกว่า 61% อยู่ในมือคนแค่เพียง 10% โดยงานศึกษาชี้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนไทยที่ว่ามากแล้ว ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินยิ่งสูงกว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา 2 จนมีการกล่าวว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ระดับสาหัส

เมื่อความเป็นอยู่ของคนในประเทศแตกต่างกันมากเพียงนี้ หมายความว่า แม้เราอยู่ในประเทศเดียวกัน ย่อมเห็นประเทศนี้ในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกันสิ้นเชิง และหากพวกเราสังเกตจะเห็นข่าวที่สะท้อนอาการ “หมั่นไส้คนรวย” มีให้เห็นมากขึ้น เช่น “คนขี่มอเตอร์ไซค์ด่าคนขับรถหรูที่จอดขวางถนน และต่อมาเอาหินขว้างกระจกหน้ารถจนแตก” และเราคงไม่อยากให้รอยแยกนี้บานปลายออกไปจนเรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งเช่นนี้ย่อมมีนัยครอบคลุมถึงเสถียรภาพการเมือง-การคลัง-เศรษฐกิจ-สังคม และชีวิตของคนไทยทุกคน

3) อาการที่สาม คือ การก้าวสู่สังคมคนชราเต็มรูปแบบ

สภาพัฒน์ ชี้ว่า

ปี 2564 จะมีคนไทยอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดและ

ปี 2574 คนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด

ซึ่งอาจารย์วรเวศม์ สุวรรณระดา (อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ประเมินภาระการเลี้ยงดูคนแก่ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปี 2558 คนวัยทำงานประมาณ 4.5 คน จะดูแลคนแก่ 1 คน หรือ 4.5 ต่อ 1 แต่ในปี 2574 สัดส่วนนี้จะเท่ากับ 2 ต่อ 1 นั่นหมายความว่า ถ้าต้องการรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตไว้ ผลิตภาพที่คนวัยทำงานในอนาคตต้องเพิ่มขึ้น 2.25 เท่า จึงรับภาระนี้ได้ และด้วยความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขทำให้อายุเฉลี่ยของคนไทยสูงขึ้น โดยการศึกษาของ TDRI พบว่า ตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี และเมื่อประมาณการอายุคนไทยตามปีเกิด เป็นไปได้ว่าคนไทยที่เกิดในปี 2559 จะมีอายุยืนเฉลี่ยถึง 80-98 ปี หรือเกือบ 100 ปีแน่นอนว่า เมื่อฐานกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง จำนวนผู้เสียภาษีย่อมลดลง ขณะที่รายจ่ายด้านสาธารณสุขจะเร่งตัวขึ้นยาวนานอย่างมีนัยสำคัญ

4) อาการที่สี่ เทคโนโลยีป่วนโลก

กล่าวคือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มุมหนึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคลังในหลายมิติ ซึ่งจะกล่าวถึงในส่วนต่อไป แต่อีกมุมหนึ่งก็ทำให้ภาคการคลังต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดเก็บภาษีไม่น้อยกล่าวคือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่อยู่บนแพลตฟอร์มมากขึ้น โอกาสเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจะยากขึ้นมาก

ขณะเดียวกัน หลายธุรกิจที่ถูก disrupt จนต้องทยอยปิดตัวลง เช่น ร้านเช่าวีดีโอ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยปิดหรือควบรวมสาขา และมีการใช้หุ่นยนต์แทนคนในงานที่ “น่าเบื่อ-สกปรก-อันตราย” มากขึ้น นั่นหมายถึงคนตกงานมากขึ้น และรัฐต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก

5) อาการสุดท้าย คือ การเมืองในม่านหมอก

แม้ความขัดแย้งระหว่างสีจะลดลงบ้าง แต่มองไปข้างหน้าการเมืองไทยก็ยังเหมือน “เมืองในม่านหมอก” ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นน้อย เราเห็นภาพแบบพร่ามัว ไม่สามารถที่จะบอกอะไรได้ชัดเจน มีความผันผวน แบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายแตกแยก สภาพเช่นนี้ย่อมลดทอน “พลังการเมือง” ที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพของประเทศ

และในระดับโลก หลังจากเกิดปรากฏการณ์ Brexit หรือการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับประชาธิปไตยว่าสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือ

แต่ในม่านหมอกก็ยังมีแสงสว่าง การตื่นตัวทางการเมืองของคนไทยในหลากหลายวัย โดยเฉพาะเยาวชนที่เพิ่งมีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรก ทำให้มีความหวังขึ้นมาว่า การตื่นตัวของประชาชนจะเป็นพลังที่ทำให้เมฆหมอกที่ปกคลุมการเมืองไทยจางคลายลงบ้าง และบางทีเราอาจเห็นอนาคตของการเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้น”

ถึงเวลาหรือยัง ที่เราทุกคนทุกฝ่าย ควรหันมาครุ่นคิดและถกเถียงกันอย่างสรรค์ให้มากขึ้น เพื่อหา “ทางออก” หาคำตอบ หรือหา “ความชัดเจน” ให้แก่เรื่องเหล่านี้!!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
21:54 น. (คลิป) 'เจ๊ปอง' ถึงน้องรัก 'ขิง เอกนัฎ'
21:53 น. กต.ออกแถลงการณ์!!! เรียกร้องกัมพูชายุติการปลุกระดมยั่วยุ ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว
21:47 น. 'แม่ทัพภาค 2'โชว์ผลงานรอบ 1 ปี ขยายผลจับยาบ้า ซัดเจ้าหน้าที่นอกคอก ต้องกำจัดออกจากระบบ
21:31 น. เหตุปะทะชาวกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำรวจ คฝ. บาดเจ็บ 4 นาย
21:29 น. 5 โบรกเกอร์ชั้นนำชี้เป้า!หุ้น ATLAS ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งของธุรกิจ LPG ภาคขนส่ง
ดูทั้งหมด
ออกครบแล้ว! ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 กันยายน 2568
'เพลง ชนม์ทิดา'ร่ายความในใจ หลังถูกจับตาความสัมพันธ์'เป๊ก เศรณี'
‘ในหลวง-พระราชินี’ เสด็จฯทอดพระเนตรการแสดงกายกรรมจากจีน
'มล.รจนาธร'โพสต์ขอบคุณ'ลิซ่า ลลิษา' สวมจิวเวลรีแบรนด์ไทยในลุค After party Emmy Awards
(คลิป) 'ฮุนเซน' ออกโรงแจงด่วนกลางดึก ยึดทรัพย์ 'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' ในเขมร
ดูทั้งหมด
อลัชชีหุ้มจีวร
‘หนู-1’รัฐบาลชั่วคราวไม่ค้างคืน
ไทยต้องปรับปรุงด่วน ถ้ายังอยากอยู่ในสายตานักลงทุนโลก
หนึ่งวันพันเหตุการณ์
แลนด์บริดจ์ ยุคนายกฯอนุทิน
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

(คลิป) 'เจ๊ปอง' ถึงน้องรัก 'ขิง เอกนัฎ'

กต.ออกแถลงการณ์!!! เรียกร้องกัมพูชายุติการปลุกระดมยั่วยุ ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว

'แม่ทัพภาค 2'โชว์ผลงานรอบ 1 ปี ขยายผลจับยาบ้า ซัดเจ้าหน้าที่นอกคอก ต้องกำจัดออกจากระบบ

เหตุปะทะชาวกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำรวจ คฝ. บาดเจ็บ 4 นาย

ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เยี่ยมอำลากองทัพเรือ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ

'สม รังสี'ประณามไทย! ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยางสลายม็อบกัมพูชา ชี้รบ.นำเรื่องลุยฟ้องศาลโลก

  • Breaking News
  • (คลิป) \'เจ๊ปอง\' ถึงน้องรัก \'ขิง เอกนัฎ\' (คลิป) 'เจ๊ปอง' ถึงน้องรัก 'ขิง เอกนัฎ'
  • กต.ออกแถลงการณ์!!! เรียกร้องกัมพูชายุติการปลุกระดมยั่วยุ ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว กต.ออกแถลงการณ์!!! เรียกร้องกัมพูชายุติการปลุกระดมยั่วยุ ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว
  • \'แม่ทัพภาค 2\'โชว์ผลงานรอบ 1 ปี ขยายผลจับยาบ้า ซัดเจ้าหน้าที่นอกคอก ต้องกำจัดออกจากระบบ 'แม่ทัพภาค 2'โชว์ผลงานรอบ 1 ปี ขยายผลจับยาบ้า ซัดเจ้าหน้าที่นอกคอก ต้องกำจัดออกจากระบบ
  • เหตุปะทะชาวกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำรวจ คฝ. บาดเจ็บ 4 นาย เหตุปะทะชาวกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำรวจ คฝ. บาดเจ็บ 4 นาย
  • 5 โบรกเกอร์ชั้นนำชี้เป้า!หุ้น ATLAS ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งของธุรกิจ  LPG ภาคขนส่ง 5 โบรกเกอร์ชั้นนำชี้เป้า!หุ้น ATLAS ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งของธุรกิจ LPG ภาคขนส่ง
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่ใช่คุกสุดท้ายของ ‘ทักษิณ’

ไม่ใช่คุกสุดท้ายของ ‘ทักษิณ’

17 ก.ย. 2568

ว่าด้วยเรื่อง ‘เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา’

ว่าด้วยเรื่อง ‘เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา’

14 ก.ย. 2568

ตามพระบรมราชโองการ

ตามพระบรมราชโองการ

10 ก.ย. 2568

ถามหา ‘ยางอาย’ จาก ‘แพทองธาร’

ถามหา ‘ยางอาย’ จาก ‘แพทองธาร’

7 ก.ย. 2568

กัด กรีด และดีดตัว ออกจาก ‘พรรคเพื่อไทย’

กัด กรีด และดีดตัว ออกจาก ‘พรรคเพื่อไทย’

3 ก.ย. 2568

‘อุ๊งอิ๊งค์’ น้อมรับ แต่ดูเหมือนจะไม่สำนึก

‘อุ๊งอิ๊งค์’ น้อมรับ แต่ดูเหมือนจะไม่สำนึก

31 ส.ค. 2568

‘บ้านหนองจาน’ สมรภูมิรบใหม่ ไทย-กัมพูชา

‘บ้านหนองจาน’ สมรภูมิรบใหม่ ไทย-กัมพูชา

27 ส.ค. 2568

ความกำแหงของ ‘ฮุนเซน’

ความกำแหงของ ‘ฮุนเซน’

24 ส.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved