มีเรื่องอีกหลายเรื่อง ที่เป็นปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ที่อยากเห็น “นักการเมือง” ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล หันมา “สาละวน” ใส่ใจ ถกเถียง และนำเสนอกันบ้าง มาจากการเสนอสองหน ของอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
ครั้งแรก : วันที่ 14 ก.ค. 2562 เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม 14 ตุลา ถนนราชดำเนินกลาง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถา “ 45 ปี 14 ตุลา เรื่องประชาธิปไตยกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า
“...เศรษฐกิจประเทศไทยเหมือนผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง แม้หลายรัฐบาลจะพยายามให้ยาหลายขนานแต่ก็ยังไม่หายขาด สาเหตุมาจากประเทศไทยเผชิญกับปัญหาในหลายด้าน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เห็นว่าต้องเร่งแก้ไข คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ในการกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นมากขึ้น ขณะที่ชุมชนต้องเพิ่มความเข้มแข็ง เพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกรและแรงงานไร้ทักษะ รวมถึงคนระดับฐานราก เพื่อให้สามารถอยู่ได้ เพราะในอนาคตไทยจะประสบปัญหา สังคมผู้สูงอายุ จนตอนแก่เป็นภาระให้กับวัยทำงาน
...ขณะที่ปัญหาการเมืองไทย ในรอบ 10 ปี มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อึดอัดใจ ถูกเลือกข้าง คือ ข้างที่ยังศรัทธาในประชาธิปไตยและข้างที่ความเชื่อมั่นในประชาธิปไตยลดลง เห็นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้นักการเมืองที่ขาดความรับผิดชอบเข้ามากุมอำนาจรัฐ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ แนวคิดประชาธิปไตยจึงผิดไป อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเชื่อว่าประชาธิปไตยยังเป็นระบอบการเมืองที่มีพลัง เพราะยังเป็นระบอบที่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งความศรัทธาในประชาธิปไตยที่สั่นคลอน อาจไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาธิปไตย แต่อาจเกิดจากความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์และประยุกต์ใช้แบบขาดๆ ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งจะสำคัญ แต่ก็เป็นแค่วิธีการที่นำไปสู่ประชาธิปไตย แต่ยังไม่ใช่เป้าหมาย ขณะที่เผด็จการไม่ได้มาในรูปแบบของทหารเท่านั้น แต่มาในทางเศรษฐกิจและความได้เปรียบทางสังคมเป็นเผด็จการที่น่ากลัวกว่า”
นายประสารกล่าวอีกว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้นำในระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีความสามารถในการหาจุดร่วมในความต่างประสานจุดแข็งของแต่ละคนเข้าหากัน และรับฟังความคิดเห็นโดยเฉพาะความคิดเห็นของผู้เห็นต่าง ขณะที่การสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและการมีเศรษฐกิจที่เปิดกว้างเป็นธรรม จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป เพราะยากที่จะแก้เรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ นอกจากนี้ยังควรมองประชาธิปไตยในลักษณะกระบวนการพัฒนาที่มีความต่อเนื่องไม่ใช่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งและไม่ใช่แค่การเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนรัฐบาล แต่ควรมองให้ลึกถึงปัจจัยที่จะนำประชาธิปไตยไปสู่เป้าหมายให้ได้
ครั้งที่สอง : เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การเมือง การคลัง พลังนำประเทศ” จัดโดยสมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนหนึ่งท่านพูดถึง “5 อาการน่าเป็นห่วงของประเทศไทย
ความว่า...
“...พวกเราคงยอมรับว่า ที่ผ่านมาการเมือง-การคลังทำให้ประเทศไทยเดินหน้ามาไกลพอสมควร แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งหลายอย่างนับเป็นความท้าทายทางการเมือง-การคลังไทยในระยะต่อไปอย่างยิ่ง โดยมี 5 อาการสำคัญ คือ
1) อาการแรก คือ ศักยภาพเศรษฐกิจถดถอย
เศรษฐกิจไทยเติบโตได้น้อยลงเหมือนคนแก่ที่เดินได้ช้าลง กล่าวคือ ทศวรรษก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 9 ต่อปี แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเติบโตวนเวียนอยู่ในระดับร้อยละ 4 และหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 3 ที่สำคัญ หมอหลายคนเคยเตือนมาหลายครั้งว่า ต้องหมั่นออกกำลังเพิ่มพลังในตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกระดับศักยภาพแรงงาน การวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการแข่งขัน หรือการปรับบทบาทภาครัฐให้เป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชน แต่กลับไม่ได้ทำต่อเนื่องจริงจัง
2) อาการที่สอง คือ ความเหลื่อมล้ำสุดโต่ง
ผมชอบคำบรรยายความสุดโต่งที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล พูดไว้อย่างเห็นภาพว่า “ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องโกง ก็สามารถที่จะรวยได้อย่างเหลือล้น ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศจนได้อย่างเหลือเชื่อโดยไม่ได้เกียจคร้าน” ซึ่งคำกล่าวนี้คงไม่ผิดเมื่อดูจากข้อมูลและผลการศึกษาจากหลายหน่วยงาน พบว่า
คนไทย 10% ที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุดมีรายได้ห่างกันถึง 22 เท่า
คนไทยมากกว่า 75% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ขณะที่โฉนดกว่า 61% อยู่ในมือคนแค่เพียง 10% โดยงานศึกษาชี้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนไทยที่ว่ามากแล้ว ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินยิ่งสูงกว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา 2 จนมีการกล่าวว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ระดับสาหัส
เมื่อความเป็นอยู่ของคนในประเทศแตกต่างกันมากเพียงนี้ หมายความว่า แม้เราอยู่ในประเทศเดียวกัน ย่อมเห็นประเทศนี้ในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกันสิ้นเชิง และหากพวกเราสังเกตจะเห็นข่าวที่สะท้อนอาการ “หมั่นไส้คนรวย” มีให้เห็นมากขึ้น เช่น “คนขี่มอเตอร์ไซค์ด่าคนขับรถหรูที่จอดขวางถนน และต่อมาเอาหินขว้างกระจกหน้ารถจนแตก” และเราคงไม่อยากให้รอยแยกนี้บานปลายออกไปจนเรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก ซึ่งความเหลื่อมล้ำสุดโต่งเช่นนี้ย่อมมีนัยครอบคลุมถึงเสถียรภาพการเมือง-การคลัง-เศรษฐกิจ-สังคม และชีวิตของคนไทยทุกคน
3) อาการที่สาม คือ การก้าวสู่สังคมคนชราเต็มรูปแบบ
สภาพัฒน์ ชี้ว่า
ปี 2564 จะมีคนไทยอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดและ
ปี 2574 คนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด
ซึ่งอาจารย์วรเวศม์ สุวรรณระดา (อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ประเมินภาระการเลี้ยงดูคนแก่ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปี 2558 คนวัยทำงานประมาณ 4.5 คน จะดูแลคนแก่ 1 คน หรือ 4.5 ต่อ 1 แต่ในปี 2574 สัดส่วนนี้จะเท่ากับ 2 ต่อ 1 นั่นหมายความว่า ถ้าต้องการรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตไว้ ผลิตภาพที่คนวัยทำงานในอนาคตต้องเพิ่มขึ้น 2.25 เท่า จึงรับภาระนี้ได้ และด้วยความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขทำให้อายุเฉลี่ยของคนไทยสูงขึ้น โดยการศึกษาของ TDRI พบว่า ตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี และเมื่อประมาณการอายุคนไทยตามปีเกิด เป็นไปได้ว่าคนไทยที่เกิดในปี 2559 จะมีอายุยืนเฉลี่ยถึง 80-98 ปี หรือเกือบ 100 ปีแน่นอนว่า เมื่อฐานกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง จำนวนผู้เสียภาษีย่อมลดลง ขณะที่รายจ่ายด้านสาธารณสุขจะเร่งตัวขึ้นยาวนานอย่างมีนัยสำคัญ
4) อาการที่สี่ เทคโนโลยีป่วนโลก
กล่าวคือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มุมหนึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคลังในหลายมิติ ซึ่งจะกล่าวถึงในส่วนต่อไป แต่อีกมุมหนึ่งก็ทำให้ภาคการคลังต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดเก็บภาษีไม่น้อยกล่าวคือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่อยู่บนแพลตฟอร์มมากขึ้น โอกาสเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจะยากขึ้นมาก
ขณะเดียวกัน หลายธุรกิจที่ถูก disrupt จนต้องทยอยปิดตัวลง เช่น ร้านเช่าวีดีโอ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยปิดหรือควบรวมสาขา และมีการใช้หุ่นยนต์แทนคนในงานที่ “น่าเบื่อ-สกปรก-อันตราย” มากขึ้น นั่นหมายถึงคนตกงานมากขึ้น และรัฐต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก
5) อาการสุดท้าย คือ การเมืองในม่านหมอก
แม้ความขัดแย้งระหว่างสีจะลดลงบ้าง แต่มองไปข้างหน้าการเมืองไทยก็ยังเหมือน “เมืองในม่านหมอก” ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นน้อย เราเห็นภาพแบบพร่ามัว ไม่สามารถที่จะบอกอะไรได้ชัดเจน มีความผันผวน แบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายแตกแยก สภาพเช่นนี้ย่อมลดทอน “พลังการเมือง” ที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพของประเทศ
และในระดับโลก หลังจากเกิดปรากฏการณ์ Brexit หรือการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับประชาธิปไตยว่าสิ้นมนต์ขลังแล้วหรือ
แต่ในม่านหมอกก็ยังมีแสงสว่าง การตื่นตัวทางการเมืองของคนไทยในหลากหลายวัย โดยเฉพาะเยาวชนที่เพิ่งมีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรก ทำให้มีความหวังขึ้นมาว่า การตื่นตัวของประชาชนจะเป็นพลังที่ทำให้เมฆหมอกที่ปกคลุมการเมืองไทยจางคลายลงบ้าง และบางทีเราอาจเห็นอนาคตของการเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้น”
ถึงเวลาหรือยัง ที่เราทุกคนทุกฝ่าย ควรหันมาครุ่นคิดและถกเถียงกันอย่างสรรค์ให้มากขึ้น เพื่อหา “ทางออก” หาคำตอบ หรือหา “ความชัดเจน” ให้แก่เรื่องเหล่านี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี