ชัดเจนจากปากของ “นายวิญญัติ ชาติมนตรี” ทนายความประจำตัวของนายทักษิณ ชินวัตร หลังเข้าเยี่ยม “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 ว่า ได้ยื่นขอไปจริง และถือเป็นสิทธิของผู้ต้องขังเด็ดขาดทุกรายเป็นสิทธิตามกระบวนการ และครั้งนี้ก็ดำเนินการนานกว่าครั้งที่แล้ว ทุกอย่างเป็นพระราชอำนาจ เป็นพระเมตตาของพระองค์ท่าน ไม่อาจก้าวล่วงได้
และเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 สามารถทำได้หรือไม่ นายวิญญัติปฏิเสธไม่ให้ความเห็นเรื่องดังกล่าว แต่ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าทั้งนี้การยื่นฯ เป็นกระบวนการทางเอกสารและทำความเห็นประมาณ 14 วัน ใช้เวลามากกว่าครั้งที่แล้ว ซึ่งใช้เวลา 6 วัน การยื่นครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นการเร่งรีบ
1) โปรดทราบว่า การยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลมีขั้นตอน คือผู้ต้องขังเด็ดขาด หรือผู้มีประโยชน์ อาทิ บิดา มารดา คู่สมรส บุตรของผู้ต้องขัง ยื่นเรื่องผ่านเรือนจำ ทัณฑสถาน จากนั้นเรือนจำทัณฑสถาน จะสอบสวนเรื่องราวทูลเกล้าฯ รวบรวมเอกสาร และส่งต่อไปยังกรมราชทัณฑ์ เพื่อกรมราชทัณฑ์ประมวลข้อเท็จจริง และสรุปเรื่องเพื่อประกอบการถวายความเห็นของ รมว.ยุติธรรม จากนั้นความเห็นของ รมว.ยุติธรรม จะถูกส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ต่อด้วยสำนักงานองคมนตรี และเมื่อมีผลฎีกาอย่างไร ก็จะมีการแจ้งผลฎีกามายังเรือนจำ ทัณฑสถาน ต่อไป
2) ต่อมามีรายงานข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมออกมายืนยันว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษรายบุคคลจริง และขณะนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา ให้บังคับจำคุกนายทักษิณ เป็นเวลา 1 ปี ตามพระบรมราชโองการแล้วนั้น เพียงหนึ่งวันต่อมา นายทักษิณก็ได้ยื่นคำร้องขออภัยโทษต่อกระทรวงยุติธรรม
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 กระทรวงยุติธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีมติรับเรื่องดังกล่าว และส่งต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 และได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 โดยมีกำหนดแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานต้องรอความชัดเจนเพิ่มเติม
3) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก เรื่อง ดื้อดึงขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำ ใครชงเรื่องระวัง 157 มีเนื้อหาระบุว่า
เมื่อมีข้อเท็จจริงยืนยันว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นครั้งที่ 2 หลังเข้ามารับโทษในเรือนจำ ก็ต้องถามตรงๆ ว่า กฎหมายเปิดช่องให้ทำได้จริงหรือ?
อย่าลืมว่า นายทักษิณเคยขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี โทษที่ได้รับอยู่ จึงไม่ใช่โทษตามคำพิพากษาเดิม แต่เป็นโทษที่เกิดขึ้นจากพระบรมราชโองการโดยตรง มาตรา 259 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ระบุชัดว่า ผู้ที่ “ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ” จึงจะสามารถยื่นขออภัยโทษได้ ความหมาย คือ โทษที่ถูกลดโดยพระบรมราชโองการแล้ว ไม่ใช่โทษตามคำพิพากษาอีกต่อไป
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ฟันธงว่า การขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง จึงสุ่มเสี่ยงไม่เข้าเกณฑ์กฎหมาย และยิ่งไปกว่านั้น มาตรา 261 กำหนดหน้าที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องถวายความเห็นประกอบ หากยังดื้อดึงถวายทั้งที่รู้ว่าขัดหลักเกณฑ์ ก็อาจถูกตีความว่า ใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย และเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157
นายทักษิณ เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่กลับหนีคุกด้วยการ “ป่วยทิพย์” สุดท้ายศาลฯ สั่งให้กลับไปรับโทษ ควรสำนึกรับโทษ แต่ยังดิ้นรนยื่นขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำ
“นี่คือการทำเรื่องไม่สมควรซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนที่ทำผิดซ้ำซากและไม่เคยสำนึกอย่างแท้จริง จนต้องลงเอยอย่างที่เห็น อภัยโทษมีไว้ให้คนสำนึก ไม่ใช่บัตรผ่านพ้นผิดของคนที่ไม่เคารพคำพิพากษา” นายเชาว์ ระบุ
4) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระเผยแพร่บทความเรื่อง “คำขอพระราชทานอภัยโทษ ในโทษจำคุก 1 ปี ของทักษิณ” มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
1. เป็น “คำขอซ้ำ”ให้ทรงวินิจฉัยซ้ำอย่างชัดเจน ต้องเข้าใจว่า คดีชั้น 14 ศาลไม่ได้ตัดสินลงโทษอะไรใหม่ ในคดีใหม่ แต่เป็นคดีเก่าที่ตัดสินไปแล้ว แล้วจำเลยหนีไป 17 ปี ให้หลังเมื่อกลับมา ก็ต้องกลับมารับโทษที่เหลืออีก 8 ปีนั้น แต่ก็ทรงพระกรุณาอภัยลดโทษเหลือโทษ 1 ปี และเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ศาลก็ออกหมายคุมขังใน 1 ปี ที่เหลือนี้แล้ว
แต่มาปรากฏในปี 2568 ว่า หมายขังนี้ไม่ได้รับการบังคับตามให้ถูกต้อง เพราะมีเจ้าหน้าที่สมคบกันช่วยเหลือให้นักโทษไปนอนโรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ ศาลจึงมีคำสั่งให้บังคับตามหมายเดิมเสียใหม่ คือ ให้ราชทัณฑ์นำตัวไปขังเลยทันที กรณีจึงชัดเจนว่า โทษ 1 ปี ที่ทักษิณกลับมาโดนอยู่ดีนี้จึงเป็นคดีเดิมโทษเดิม
2. คำร้องซ้ำซากอย่างนี้ ในทางกฎหมายทำไม่ได้ เป็นไปตามหลักห้ามฟ้องซ้ำ ร้องซ้ำ คำร้องใดที่ซ้ำซากอย่างนี้ รัฐมนตรียุติธรรมมีหน้าที่ต้องปฏิเสธไม่นำส่งเข้าสู่ราชการในพระองค์ ถ้าหลุดเข้าไปได้ ก็ผ่านการกลั่นกรองของสำนักองคมนตรีไปไม่ได้ คำร้องนี้ต้องถูกส่งกลับ เหมือนคราวรักษาการนายกฯทูลขอให้ทรงยุบสภาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ถูกตีกลับ เพราะมีปัญหากฎหมายครับ
3. ที่กระทรวงยุติธรรมบอกว่า เรื่องขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะบุคคลนี้ ตนมีหน้าที่ต้องนำส่งอย่างเดียว ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด ปฏิเสธเมื่อใดจะเป็นการล่วงพระราชอำนาจนั้น เป็นความคิดที่ผิด เรื่องความถูกต้องทั้งข้อมูลและความชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ตรวจสอบรับรองจนชัดเจนเสียตั้งแต่ต้นเลยครับ เมื่อกลั่นกรองถูกต้องแล้ว กรณีก็จะเหลือแต่ดุลพินิจแท้ๆ ตามพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น ซึ่งนักโทษก็ได้อภัยลดโทษไป 7 ปีแล้ว เหลือโทษจำคุก 1 ปี ในทางกฎหมาย จะเอา 1 ปี มาร้องซ้ำอีกไม่ได้
สุดท้าย อ.แก้วสรรตอบคำถามที่ว่า “พฤติการณ์เมื่อปี 2566 ที่ทูลขอเป็นความเท็จ โดยอ้างว่าบัดนี้ตนติดคุกแล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ติดคุกจริงเลย ความข้อนี้ศาลฎีกาท่านก็เห็น จึงสั่งให้ไปเริ่มติดคุกใหม่ทั้ง 1 ปีเลย เมื่อคำขอนี้ผิดขั้นตอนอย่างชัดเจน แต่รัฐมนตรีก็นำขึ้นทูลเกล้าฯไปอย่างผิดๆ เช่นนี้แล้ว ผมขอถามว่า ถ้าอาจารย์เป็นรัฐมนตรียุติธรรมคนปัจจุบันจะทำอย่างไรครับ” ว่า
ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดของฝ่ายบริหารที่กราบทูลไปโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ในทางกฎหมายจึงทำให้พระบรมราชโองการผิดพลาด เปิดให้คนโกง โกงคุก 7 ปี ไปหน้าด้านๆ รัฐมนตรีจึงมีหน้าที่ ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงพระกรุณาเพิกถอนพระบรมราชโองการอภัยโทษนี้โดยพลัน ครั้นเมื่อทรงโปรดเกล้าฯแล้ว รัฐมนตรีก็แจ้งต่อศาลให้ออกหมาย
คุมขังใหม่ เป็นโทษ 8 ปี ตามเดิมครับ
สรุป : การขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำครั้งนี้สะท้อนความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว และขาดความยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาธรรม ที่เคยมีพระมหากรุณาธิคุณ “อภัยลดโทษ”ให้แล้ว ก็หาได้สำนึกและเคารพไม่ กลับสมคบกันกับบริวารที่กุมเครือข่ายอำนาจ อ้างเหตุเจ็บป่วยที่ไม่เข้ากฎเกณฑ์ ไม่ต้องติดคุก แต่มานอนสบายๆ อยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มิยอมรับโทษตามพระบรมราชโองการ
โกงได้แม้กระทั่งพระบรมราชโองการให้รับโทษจำคุก 1 ปี
ยังกล้าลบหลู่พระราชอำนาจ ด้วยการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำอีก
ทักษิณกับพวก เห็น “พระเจ้าแผ่นดิน”เป็นอะไร?
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี