นับว่าช่วยให้แม่ยกกองเชียร์พรรคสีฟ้า หัวใจสูบฉีดขึ้นมาเมื่อเห็น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้รับเลือกให้เป็น “หัวหน้าพรรค” อีกครั้ง หลังพรรคเดินออกนอกความเชื่อ ความศรัทธาของกองเชียร์ไปหลายปี แต่การกลับมาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
นายเทพไท เสนพงศ์ คน (เคย) ใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์กล่าวถึง “5 กับดัก ของ อภิสิทธิ์” โดยนายเทพไทกล่าวว่า สิ่งที่อยากจะแสดงความคิดเห็นในฐานะเป็นนักวิเคราะห์การเมืองอิสระว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำพรรคเข้าสู่สนามเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ นายอภิสิทธิ์จะต้องพบกับดักทางการเมือง 5 ข้อ ด้วยกัน คือ
1.ระยะเวลาของการเตรียมตัวที่จะนำพรรคเข้าสู่สนามเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างฉุกละหุกและกระชั้นชิด แม้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า จะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 แต่ในข้อเท็จจริงอาจจะยุบก่อนหน้านั้นก็ได้ และล่าสุดก็เห็นท่าทีของนายอนุทินว่า อาจจะยุบสภาเร็วขึ้นจึงทำให้การเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อจำกัดทางนโยบาย ทั้งตัวผู้สมัครและเงินทุนสนับสนุน
2.การคัดเลือกผู้สมัครสส.จะเป็นปัญหาสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคเก่าแก่ และมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง จะมีปัญหาเกี่ยวกับการคัดตัวผู้สมัครในระบบเขต ซึ่งมีทั้งคนเก่าและคนใหม่ ซึ่งพรรคจะต้องตัดสินใจว่า จะเลือกใครเป็นตัวแทนของพรรคลงสนามเลือกตั้ง รวมถึงการจัดลำดับในสส.ประเภทบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีผู้อาวุโสอยู่หลายคน จะจัดลำดับในบัญชีรายชื่ออย่างไร เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเป็นสส.ในระบบบัญชีรายชื่อบ้าง และไม่ตัดผู้อาวุโส ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของพรรค
3.จะต้องทำการเมืองในลักษณะเชิงเดียวหรือเชิงเดี่ยว หมายความว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ประกาศจุดยืนการทำการเมืองแบบสุจริต และประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ไม่มีการซื้อเสียง พรรคประชาธิปัตย์ต้องดำเนินแนวทางการหาเสียงกำชับให้ผู้สมัครทุกคน ละเว้นการซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด ต้องไม่ทำการเมืองแบบไฮบริด คือประกาศจุดยืนไม่ซื้อเสียง ในขณะที่ผู้สมัครสส.ของพรรคบางคนแอบซื้อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยซื้อเสียงมาก่อน และมีฐานะทางการเงินที่พอจะซื้อเสียงได้ ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งภาพลักษณ์และจุดยืนของพรรคได้
4.นายอภิสิทธิ์จะต้องเจอกับวาทกรรมเรื่องกรณีการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี2553 ที่มีคนตาย 99 ศพ แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาที่ผ่านมา 10 กว่าปี ก็จะมีคนขุดเรื่องนี้มาตั้งคำถาม ทั้งที่ในทางคดีความได้หมดสิ้นไปแล้ว และคนที่กล่าวหาเรื่องนี้ก็รับโทษไปแล้ว แต่จะมีคนขุดวาทกรรมนี้มาใช้อีก ซึ่งก็จะต้องตอบคำถามในเรื่องนี้ตลอดเวลา เพราะเป็นประเด็นการเมืองที่สามารถดิสเครดิตนายอภิสิทธิ์ได้
5.นายอภิสิทธิ์จะต้องเจอกับแรงกดดันทางการเมือง คำถามเรื่องความสำเร็จในการกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคครั้งใหม่ว่า จะนำพาพรรคประชาธิปัตย์ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน จะได้จำนวนที่นั่งสส.กี่คน ซึ่งในระบบบัญชีรายชื่ออาจจะไม่เป็นปัญหา เพราะกระแสความนิยมของนายอภิสิทธิ์จะทำให้คะแนนสูงกว่าผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ เพียง 900,000 คะแนนเศษ การเลือกตั้งครั้งต่อไปน่าจะมีคะแนนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน แต่ในระบบเขต ซึ่งนายอภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า มีสส.จำนวนหนึ่งที่ไม่ไปต่อกับพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการย้ายพรรค และการเลือกตั้งในระบบเขต จะมีการแข่งขันกันสูง และมีการซื้อเสียงกันอย่างหนัก 80% ของระบบเขตจะซื้อเสียงกันทั้งนั้น เมื่อนายอภิสิทธิ์ประกาศจุดยืนไม่ซื้อเสียง ก็ไม่มีหลักประกันใดว่าในระบบเขตจะได้สส.กี่คน เว้นแต่กระแสนิยมของนายอภิสิทธิ์มาแรงจนดึงคะแนนสส.เขตให้ได้รับการเลือกตั้งด้วย
ขณะที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นำเสนอประเด็น “Rebirth of a Principle: ภารกิจใหม่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไว้อย่างแหลมคม ว่า
ถ้าผมเป็นเพื่อนที่ได้เห็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กำลังตัดสินใจกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้งผมคงอยากบอกอย่างตรงไปตรงมา-นี่ไม่ใช่เวลาของ “การหวนคืนอำนาจ” แต่นี่คือเวลาของ
“การฟื้นคืนหลักการ”
1) จุดเปลี่ยนแห่งยุคการเมืองไทย : ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของยุคการเมืองใหม่ ระบบเดิมเริ่มแตกร้าว แต่ระบบใหม่ก็ยังไม่ลงหลัก เรามี “พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังล้น แต่ยังขาด“พลังแห่งหลักการ” ที่จะพาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สนามเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่แค่ศึกแย่งอำนาจ-แต่คือศึกชี้ทิศทางของประเทศ ว่าเราจะไปต่ออย่างไร
วันนี้ สมการการเมืองไทยดูแคบและตื้นเกินไป
• น้ำเงิน (ภูมิใจไทย)-พรรคของทุนอำนาจใหม่ ที่เล่นเกมอำนาจได้ แต่ยังขาดวิสัยทัศน์ระดับชาติที่ชัดเจน
• ส้ม (ก้าวหน้า/ประชาชน)-พรรคของพลังคนรุ่นใหม่ ที่กล้าท้าทาย แต่บางครั้งไร้หลักยึด
• แดง (เพื่อไทย)-พรรคของอดีต ที่พลังถดถอย และอุดมการณ์เลือนราง
แต่หาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมานำพรรคประชาธิปัตย์ สมการนี้จะเปลี่ยนทันที- จาก “น้ำเงิน vs ส้ม โดยมีแดงเป็นตัวแปร” สู่ “น้ำเงิน vs ส้ม โดยมี ฟ้า เป็นตัวแปรแห่งหลักการ” และในจังหวะแบบนี้ การกลับมาของคุณอภิสิทธิ์ จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมันไม่ใช่ Return of a Person แต่คือ Rebirth of a Principle
2) Reset พรรค เพื่อ Reset ประเทศ : ถ้าผมเป็นที่ปรึกษา ผมคงไม่แนะนำให้ “หวนกลับ”ไปเป็นพรรคเก่าในรูปใหม่ แต่ต้อง “รีเซต” ให้เป็นพรรคต้นแบบของ Principled Politics - การเมืองที่มีหลัก และใช้หลักนั้นสร้างผล เพราะวันนี้ ประเทศไทยไม่ต้องการพรรคที่ “ใหญ่ที่สุด” แต่ต้องการพรรคที่“ยืนหยัดในหลักการ” ได้มากที่สุด
การ Reset พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนในสามมิติสำคัญ :
1. จากพรรคแห่งอดีต สู่พรรคแห่งอนาคต - ฟื้นจิตวิญญาณของความเป็น “พรรคอุดมการณ์” แต่ปรับยุทธศาสตร์ให้ตอบโจทย์อนาคต จากพรรคที่เน้น “การเมืองแบบผู้แทน” สู่พรรคที่เป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (Transformative Party) ไม่ใช่แค่แข่งขันในระบบเดิม แต่เป็นผู้ตั้ง “มาตรฐานใหม่ของการเมืองไทย”
2. จากพรรคของคนรุ่นเดิม สู่พรรคของทุกเจเนอเรชั่น - เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ที่ “คิดแบบมีหลัก” และ “ทำแบบมีผล” ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหน้า แต่เปลี่ยน “โครงสร้างความคิดทางการเมือง” ให้พรรคเก่ากลายเป็น Platform ของผู้นำรุ่นใหม่ ไม่ใช่พรรคที่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นพรรคที่กล้านำการเปลี่ยนผ่าน
3. จากพรรคของผลประโยชน์ สู่พรรคของหลักการ - กำหนดยุทธศาสตร์พรรคด้วย “สามเสาหลักของการเมืองที่ดี” คือ Good Policy × Good Politics × Good People และชูแนวทาง “เดินด้วยหลัก แต่ทำให้เกิดผล” (Principled Pragmatism)
3) Rebirth of a Principle : คุณอภิสิทธิ์ ไม่ควรกลับมาเพื่อแข่งขันกับใคร แต่กลับมาเพื่อยกระดับสนามการเมืองไทยทั้งหมด เพราะประเทศนี้ไม่ได้ต้องการ “ฝ่ายค้านที่เก่ง” หรือ “รัฐบาลที่แน่” แต่ต้องการ “พรรคที่มีหลัก” ที่จะพาประเทศพ้นวังวนความแตกแยก ประชาธิปัตย์ในยุคใหม่ จึงต้องตั้งเป้าเป็น “พรรคสร้างความหวังแห่งชาติ” (National Hope Party) ไม่ใช่พรรคที่ชนะเพราะคู่แข่งอ่อนแต่เป็นพรรคที่ชนะใจคน เพราะสร้างความหวังให้ประเทศได้จริง
4) จาก Return สู่ Rebirth : หากคุณอภิสิทธิ์เลือกกลับมาในภารกิจนี้จริง มันจะไม่ใช่ “การกลับมาของอดีตนายกฯ” แต่คือ “การเริ่มต้นของการเมืองยุคใหม่” ที่ประเทศไทยยังไม่เคยมี และถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถเชื่อม “จารีต × ปฏิรูป”เข้าด้วยกันได้อย่างมียุทธศาสตร์ ประเทศไทยจะได้เห็น “Third Way” ทางการเมืองของตัวเอง - ไม่ใช่จารีตสุดโต่ง ไม่ใช่ก้าวหน้าสุดขั้ว แต่คือเส้นทางของ “การเปลี่ยนผ่านด้วยหลักการ” (Principled Progress)
บทสรุป : ประเทศไทยไม่ขาดคนดี หรือคนเก่ง แต่เราขาด “ผู้นำที่กล้ารีเซตระบบ ด้วยหลักการ”ถ้าวันนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมาในบทบาทนี้จริง มันจะไม่ใช่เพียงการกลับมาของคนคนหนึ่ง แต่คือการฟื้นคืนความหวังของการเมืองไทยทั้งระบบ เพราะสุดท้ายแล้ว “พรรคแห่งอนาคต” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครจะมีเสียงมากที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่า ใคร “ยืนอยู่บนหลักการ” ได้มั่นคงที่สุด
จึงต้องจับตาดูว่า อภิสิทธิ์จะสังเคราะห์คำชี้แนะและคำเตือนเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติแบบใด!!
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี