เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ส่งเอกสารด่วนที่สุดถึง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียดระบุว่า
ตามที่ภูมิภาคทหารที่ 5 ได้กำหนดการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กัมพูชา - ไทย (RBC) สมัยพิเศษ ด้านภูมิภาคทหารที่ 5 กับ กองทัพภาคที่ 1 ในห้วงวันที่ 10-12 ต.ค 2568 รวม 3 วัน โดยครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชา เป็นเจ้าภาพ ณ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมี พลโท แอก ซอมโอน รองผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 และเรียนเชิญ พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นประธานการประชุมร่วม นั้น
กองทัพภาคที่ 1 ขอให้ภูมิภาคทหารที่ 5 จัดทำแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และบ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว รวมจำนวน 3 พื้นที่ โดยส่งแผนการอพยพฯ ให้กองทัพภาคที่ 1 ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 พร้อมทั้งเสนอในการประชุม RBC ในครั้งนี้ จึงจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ “พันตรีสรายุทธ์ จันทรประยงค์” ตำแหน่ง ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการ กองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ประสานงาน
1) ใช่ครับ นี่คือมาตรการที่เด็ดขาดและถูกต้องที่ไทยควรแสดงออกต่อ “กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ทำตัวเป็น “เพื่อน” แต่มีพฤติกรรมเป็นอันธพาล ด้อยการศึกษา หน้าหนา และไม่สนสี่สนแปด
2) กรณีบ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว ชัดเจนมานมนานว่าเป็นพื้นที่ของราชอาณาจักรไทย ที่เคยใช้รองรับชาวกัมพูชาอพยพจากเหตุ “สงครามภายใน” ที่คนเขมรฆ่าฟันกันเอง มาถึงวันนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่ฝ่ายไทยจะ “แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่” และขอผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมาย และผลักดันด้วยกำลังทหาร
3) ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2568 ระบุว่า “กัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงและคัดค้านอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทย เกี่ยวกับเจตนาที่จะใช้กฎหมายภายในประเทศของไทยกับพลเมืองกัมพูชาในหมู่บ้านโจกเจย (บ้านหนองจานของไทย) และหมู่บ้านไปรจัน (บ้านหนองหญ้าแก้วของไทย) ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจยโดยมีรายละเอียดกล่าวหาฝ่ายไทยว่า
ฝ่ายไทยอ้างสิทธิใช้กฎหมายภายในประเทศกับพลเมืองกัมพูชาในพื้นที่พิพาท โดยการอ้างสิทธิดังกล่าวของไทยละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ (มาตรา 2(3) และ 2(4)) เป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ขัดต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ขอเรียกร้องให้ไทยยุติกิจกรรมที่บ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียด ตามข้อตกลงหยุดยิง
4) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า ฝ่ายไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศกับบุคคลที่อยู่ในเขตดินแดนของไทย ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ทุกประเทศยอมรับ และขอยืนยันว่า พื้นที่ที่ฝ่ายไทยอาจจำเป็นต้องดำเนินการก่อนนั้น ไม่ได้อยู่ในเขตของพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือน แต่อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐ
ส่วนเรื่องพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ในมาตรา 2(3) ที่ได้ระบุไว้ว่า “รัฐสมาชิกต้องระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยวิธีสันติเพื่อไม่ให้สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศตกอยู่ในอันตราย” นั้น ในความเป็นจริงกลับพบว่าฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นผู้ละเมิด อย่างกรณีการปลุกปั่น จัดฉาก ใช้ประชาชนมาเป็นผู้สร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ส่วนในมาตรา 2(4) ที่ระบุว่า “รัฐสมาชิกต้องละเว้นจากการคุกคามหรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดน” กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาอีกเช่นกันที่เป็นผู้ละเมิด อย่างกรณีการรุกรานรุกล้ำอธิปไตยไทย ด้วยการนำกำลังทหารพร้อมอาวุธมาวางกำลังในดินแดนอธิปไตยไทย และการแอบลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2ในดินแดนอธิปไตยไทย แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตาม
สำหรับกรณีที่กล่าวหาว่าเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ขัดต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมนั้น ต่อกรณีนี้เป็นฝ่ายกัมพูชา อีกเช่นกันที่เป็นผู้ละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ด้วยการละเลย ไม่จริงใจ ปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคาร สถานที่บ้านเรือนชุมชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และในเขตพื้นที่อธิปไตยของไทย ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงตามข้อกำหนด MOU 2000 จำนวนกว่า 500 ครั้ง ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยและไม่ยอมแก้ไขมากว่า 20 ปี
สำหรับกรณีที่กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติกิจกรรมที่บ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียด ตามข้อตกลงหยุดยิงนั้น ต่อกรณีนี้อีกเช่นกัน ที่เป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นผู้สนับสนุนและดำเนินการแบบไม่เปิดเผย เพื่อให้มีกิจกรรมการชุมนุมของประชาชนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว และมีการใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในเขตอธิปไตยของไทย จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย
จึงขอยืนยันว่าฝ่ายไทยมีเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนโดยสันติวิธี โดยจะไม่ใช้กำลังรุกรานใคร การดำเนินการในสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นนั้นอยู่ภายใต้กรอบกติกาสากลและกฎหมายไทย เพื่อรักษาอธิปไตย และปกป้องตนเองจากการคุกคามของฝ่ายกัมพูชา
4) สอดคล้องกับถ้อยแถลงของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติตอนหนึ่งที่ว่า
“...เป็นที่น่าเสียใจว่ากัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ กัมพูชาได้ให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนที่ไม่สามารถยืนยันได้เมื่อถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งก็เป็นเพราะว่า สิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริง เราต่างรู้ว่าใครคือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด คือเด็กๆ ที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้นที่ร้านสะดวกซื้อ ที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา
...ตั้งแต่เริ่มแรก กัมพูชาเป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้งด้วยความตั้งใจที่จะขยายข้อพิพาทชายแดนไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติและทำให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันนี้ หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างถึงในคำกล่าวก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย โดยตามข้อเท็จจริง หมู่บ้านเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะประเทศไทยได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมที่จะเปิดชายแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ประชาชนหลายแสนคนได้หลบหนีจากสงครามกลางเมืองและมีที่พักพิงในประเทศไทย เราได้ตัดสินใจบนหลักการของความเมตตาและมนุษยธรรม ผมได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตนเอง เมื่อครั้งผมยังเป็นเพียงเป็นนักการทูตผู้น้อย
แม้ว่าสงครามกลางเมืองได้สิ้นสุดและที่พักพิงได้ปิดตัวลงแต่หมู่บ้านของกัมพูชายังคงขยายขอบเขต ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาและแม้ว่าประเทศไทยได้พยายามที่จะประท้วงอย่างต่อเนื่องแต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องที่จะจัดการกับปัญหาการบุกรุกดังกล่าว
เมื่อสันติภาพกลับคืนสู่กัมพูชาภายหลังจากข้อตกลงสันติภาพปารีส ค.ศ. 1991 ประเทศไทยได้ช่วยสร้างและฟื้นฟูให้กัมพูชาสามารถรักษาสันติภาพของชาติตนได้เราได้ช่วยสร้างบ้านเรือน ถนน และโรงพยาบาล เพราะว่าสันติภาพของกัมพูชานั้นเป็นผลประโยชน์ของไทยด้วยเช่นกันและนี่คือสิ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านควรทำเพื่อกันและกัน
...ท่านประธานสมัชชาฯ ข้อตกลงหยุดยิงยังคงเปราะบาง เราจำเป็นต้องทำให้ข้อตกลงนี้เกิดผล ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่น และการกระทำที่จริงใจจากทั้งสองฝ่าย เป็นที่น่าเสียใจว่ากัมพูชายังคงยั่วยุอย่างต่อเนื่องซึ่งรวมถึงการระดมพลเรือนเข้ามาในเขตแดนของไทยและยิงเข้ามาทางฝั่งของเรา ถือเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน ผมหมายความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2568 ที่กองกำลังกัมพูชาได้ยิงใส่กองกำลังไทยที่ประจำอยู่บริเวณชายแดน โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ กองกำลังไทยยังได้ตรวจพบโดรนลาดตระเวนของฝ่ายกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาดินแดนไทยทุกวันบริเวณชายแดน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยและข้อตกลงหยุดยิงที่ได้เห็นชอบร่วมกันในการประชุมสมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา มาเลเซีย และได้รับการยืนยันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับทวิภาคี โปรดอย่าได้มีข้อสงสัยต่อการยืนหยัดเพื่อสันติภาพของไทยและไทยจะดำเนินการทุกวิถีทางที่สามารถกระทำได้เพื่อหาทางออกโดยสันติต่อปัญหากับกัมพูชา ในขณะเดียวกัน ไทยจะยังคงยืนหยัดเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนของเรา โดยเราขอเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือกับเราเพื่อแก้ไขความแตกต่างผ่านการหารือโดยสันติและกลไกที่มีอยู่
ในวันนี้ ประเทศของเราทั้งสองต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านและมิตรกัน ประเทศไทยขอถามกัมพูชาว่าจะเลือกเส้นทางใด เส้นทางของการเผชิญหน้าหรือเส้นทางของสันติภาพและความร่วมมือ ประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพเพราะเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนของทั้งสองประเทศ สมควรได้รับ แต่เราก็ยังมีข้อสงสัยว่ากัมพูชาตั้งใจที่จะร่วมมือกับเราในการมุ่งสู่สันติภาพหรือไม่
สำหรับประเทศไทย การเจรจา ความไว้วางใจ และความสุจริตใจไม่ใช่เป็นเพียงคำพูด แต่คือหนทางในการเดินต่อไปภายหน้า เราจะยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ในการดำเนินความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนต่างๆ ทั้งในอาเซียนและนอกเหนือออกไป รวมถึงมหาอำนาจต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การมีสันติภาพที่ยั่งยืนและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
5) ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียและประธานอาเซียนคนปัจจุบัน เกี่ยวกับสถานการณ์ที่น่าวิตกในหมู่บ้านเปรยจัน โดยสำนักข่าวเอเคพีของกัมพูชารายงานว่า
...เหตุเผชิญหน้าระหว่างทหารไทยและพลเรือนกัมพูชาในบริเวณหมู่บ้านหนองหญ้าแก้ว หรือที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านเปรยจัน จ.บ้านใต้มีชัย (บันเตียเมียนเจย) ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
ผู้นำกัมพูชาได้ร้องขอให้ผู้นำมาเลเซียเข้าแทรกแซงโดยทันที เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ ด้วยการรักษาสภาพการณ์เดิมไว้ ป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย หรือการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง และอนุญาตให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) แก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยกัมพูชาระบุว่าคำร้องขอดังกล่าวสอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างกัมพูชาและไทยที่บรรลุในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา
6) ผมคิดว่า จะเป็นโอกาสที่ดี หากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ในฐานะ “ประธานอาเซียน” จะใช้ฐานะของตัวเองและองค์กรอาเซียน เป็นคนกลาง เป็นตัวกลาง ในการ “หาข้อยุติ” โดยให้ฝ่ายไทยและกัมพูชา แสดงหลักฐานความเป็นเจ้าของพื้นที่ “บ้านหนองจาน” และ “บ้านหนองหญ้าแก้ว”อย่างเป็นทางการ และผลักดันให้ทั้งสองประเทศมีข้อสรุปให้เป็นที่ยุติในการพูดคุยแบบ “ทวิภาคี” ได้แล้ว
อันวาร์ต้องกล้าที่จะกดดันและชี้ว่า ความขัดแย้งของสองประเทศ มีผลกระทบต่อประชาชน ทั้งประชาชนไทยและกัมพูชา ทั้งยังกระทบต่อกลุ่มอาเซียนในหลากหลายมิติด้วย ถึงเวลาที่ “ประธานอาเซียน” จะเป็นตัวกลางที่กล้าหาญและเที่ยงธรรม ในการ“บีบ” ให้ “ไทย-กัมพูชา” มีข้อยุติ และหยุดการใช้กำลังสู้รบที่ก่อผลกระทบ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และมนุษยธรรมในภูมิภาค
ในเมื่อกัมพูชา ปฏิบัติตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ “กวนบาทา” และปลุกระดมผู้คนที่ “ด้อยการศึกษา” ให้คลุ้มคลั่งอยู่ในอารมณ์ “ชาตินิยม” แบบไม่ตั้งอยู่บนฐานความเป็นจริง
ก็เป็นเวลาที่กลุ่มอาเซียนจะต้องเข้ามา “ตบกบาล” ให้หายกวนตีนเสียก่อน และเร่งหาข้อยุติ ที่ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อกันอีกต่อไป ตลอดทั้งแนวชายแดน
อันวาร์ควรนำพากลุ่มอาเซียนและพันธมิตร “ยื่นคำขาด” พร้อมเตรียมมาตรการ “คว่ำบาตร” มารอ “ลงโทษ” ได้เสียที
คำถามคือ “ประธานอาเซียน” จะกล้าหาญพอที่จะทำเช่นนี้...หรือไม่?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี