ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1990 จนถึงก่อนช่วงโควิด (2020) ผมไปอเมริกาเกือบทุกปี ปีละ 1-3 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่มักเป็นปีละครั้ง ช่วงที่ผมกำลังมีตำแหน่งต่างๆ มากที่สุด อาจไปถึงปีละ 3 ครั้ง ส่วนใหญ่ไปประชุมวิชาการทางการแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารทั้งนั้น เช่นไปประชุมวิชาการประจำปีของสมาคม AGA-American Gastroenterological Association, ACG-American College of Gastroenterology (ที่อเมริกามี 2 สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหาร - ส่วนใหญ่ประเทศต่างๆ มีสมาคมเดียว จริงๆ แล้วสมาชิกสมาคมก็ซ้ำกันทั้ง 2 สมาคม) และ AASLD-American Association for the Study of Liver Diseases หรือสมาคมแพทย์โรคตับ ฉะนั้นเมืองที่ไปก็ไปได้ไม่กี่เมือง เพราะการประชุมอาจมีแพทย์ถึง 2-3 หมื่นคน จึงต้องเป็นเมืองที่มีที่ประชุมใหญ่ซึ่งมีไม่กี่เมือง เช่น San Francisco, Los Angeles, San Diego, Chicago, Boston, Washington ฯลฯ ผมจึงไปเมืองที่ซ้ำๆ กันทุก 3-5 ปี แต่สมัยก่อนที่ไม่ค่อยมีความเข้มงวดเกี่ยวกับ sponsor การไปประชุมโดยบริษัทยา บริษัทได้พาไปประชุมเล็กๆ ก่อนประชุมใหญ่ โดยไปที่เมืองต่างๆ ที่เราแทบไม่เคยไป เช่น บริเวณ Yellowstone National Park, Alaska, Grand Canyon ฯลฯ แต่ระยะหลังนี่แทบมีแต่การไปประชุมเท่านั้น โดยส่วนตัวผมๆ คิดว่าถ้าบริษัทยา หรือบริษัทเครื่องมือแพทย์จะสนับสนุนให้แพทย์ไปประชุม น่าที่จะพิจารณาพาคุณหมอไปก่อนสัก 2-3 วัน เพื่อจะได้หายจาก jet lag ช่วงนี้อาจไปเที่ยวก่อน ถึงหลับไม่เป็นไร ดีกว่าบินไปอเมริกาที่เวลาช้ากว่าเรา 12-14 ชม.โดยถึงคืนนี้ พรุ่งนี้นั่งหลับทั้งวันในห้องประชุม และยังหลับอยู่ในระหว่างการประชุมอีกหลายวันจนถึงเวลากลับ!? ถ้าการพาคุณหมอไปก่อนเวลาเช่นนี้เป็นการผิดกติกาของ Prema หรือองค์กรต่างๆ ช่วงที่ไปก่อนเวลานี้อาจถามคุณหมอว่าสนใจที่จะไปก่อนไหม จะจัดให้แต่คุณหมอต้องออกค่าใช้จ่ายช่วงนี้เอง เป็นผมถึงแม้ต้องออกเองผมก็จะยังไป ยกเว้นไปมาแล้ว
น้อยคนมั้งที่เคยไป Alaska, Yellowstone, Yosemite, Grand Canyon, Key West ซึ่งผมโชคดีได้เคยไปแล้ว และยังได้เคยไป New Zealand ซึ่งก่อนผมไป แพทย์ไทยคงมีโอกาสไปได้น้อยมาก ส่วนตัวผมในฐานะประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ซึ่งสมัยหนึ่งมีการประชุมเฉพาะประธานของวิทยาลัย ราชวิทยาลัยทั่วโลก ผมได้มีโอกาสไปประชุมที่ Ottawa, Scotland (ประชุม ณ ที่สนามกอล์ฟชื่อดัง) Hobart (เมืองบนเกาะที่ Australia) และจาก Ottawa ประเทศแคนนาดาได้บินต่อไปหาเพื่อนแพทย์ที่เรียนจบที่ Leeds ด้วยกัน ที่มาทำงานที่ Halifax และในตำแหน่ง สว. และเลขาธิการ องค์กรรัฐสภาแห่งเอเซียทางด้านการพัฒนาประชากร ยังได้ไปเปิด-ปิด การประชุมของวุฒิสภา แทบทั่วเอเชีย ที่ผมไม่เคยไป เช่น Turkmenistan, Mongolia, Panama ไม่นับประเทศอื่นๆ ที่ไปได้ง่ายๆ
แต่ช่วง 9-18 กันยายน 2568 ผมเพิ่งมีโอกาสไปเมือง Denver ซึ่งอยู่ในรัฐ Colorado เป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งๆ ที่เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วได้ส่งลูกศิษย์-คุณหมอปิยะวัฒน์ ไปดูงานที่นี่ทางด้าน Living Donor Transplantation ของตับหลังจากที่อยู่ที่อังกฤษ 5 ปี ทำเรื่องผ่าตัดเปลี่ยนตับ และ PhD ที่ Leeds
ทำไมถึงไป Denver ตอนแก่งัก?! เพราะผมมีหลานชาย (ลูกชายของพี่เสือ หรือท่าน พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ พี่พิจิตรเป็นลูกคนโตของอาแท้ๆ ผม อาจวน กุลละวณิชย์) ชื่อพิชาญ กุลละวณิชย์ ซึ่งไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 12-13 ปี เรียนจบที่ North Western U,Chicago ทำงานต่อที่อเมริกา แต่งงานกับ พญ. Wendy ที่เก่งมาก เป็นแพทย์ทางด้าน radiology (รังสี) เคยเป็น Assistant Professor ที่ Cornell อนาคตกำลังไปได้อย่างรุ่งโรจน์ แต่สามี-พิชาญ ในหน้าที่การงานต้องย้ายประเทศ ย้ายเมืองทำงาน เช่น ทำที่ New York, Hong Kong, San Francisco ฯลฯ Wendy จึงเสียสละยอมลาออกเพื่อติดตามสามี และต่อมาเพื่อดูแลลูก ทั้งคู่แต่งมาได้ 40 ปีพอดี และมีลูกชายที่น่ารัก หล่อ สมาร์ทคนเดียว ชื่อ Ben ชื่อเหมือนหลานชาย(ปู่)ของผมเลย ซึ่ง Ben มีอายุ 29 ปีและกำลังจะแต่งงาน
ที่ประเทศไทยผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในตระกูลกุลละวณิชย์ขณะนี้ คือ พี่พิจิตร ตามด้วยพี่จรัล (พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์) แล้วก็คงพี่ชายผมพี่อ๊อด และผม ทั้งพี่พิจิตร และพี่จรัล ไม่สะดวกในการไปงานแต่งงานหลานชาย ก็เลยต้องเป็นผมที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยที่จะไปเป็นตัวแทนตระกูล ถ้าไม่มีใคร หรือผู้ใหญ่ไปเลยก็ไม่ดีแน่ๆ และเพราะผมเองก็สนิทมากกับทั้งพี่พิจิตร พี่จรัล รวมไปถึงพิชาญ(ลูกพี่พิจิตร) และ Wendy พิชาญมาประชุมงานที่กรุงเทพฯประมาณปีละ 6 ครั้ง ซึ่งผมก็พาไปทานข้าวบ่อยๆ รวมทั้งเชิญพี่จรัลและน้องพี่พิจิตร แอ๋ว ครอบครัว ต้อย (ดร.ปราณี กุลละวณิชย์ อดีตรองอธิการบดีวิชาการ จุฬาฯ) ตุ่ย (อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด) ฯลฯ ไปด้วย
โชคดีที่มีลูกสาวแอ๋ว ชื่อโจ้ ไป Denver ด้วย ถ้าผมไปคนเดียวคงแย่ โจ้เก่ง คล่อง ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี ซักเสื้อผ้าให้จัดกระเป๋าให้ ยิ่งกว่า butler ยิ่งกว่า ทส.เสียอีก ชอบถือของระหว่างการเดินทางให้ผมเรื่อย ซึ่งผมเองไม่ชอบ ชอบถือเองเรียกว่าทำให้ผมสบายไปทั้งชาติ!?
และก็โชคดีอีก ที่เราบินจากกรุงเทพฯไปแวะนาริตะ (โตเกียว ญี่ปุ่น) แห่งเดียวเท่านั้น โดยสายการบิน ANA ซึ่งเป็นสายการบินร่วมของ TG, UA ฯลฯ จากนาริตะเราบินตรงไป Denver เลย โดยสายการบิน UA ตรงนี้ผมชอบมาก เพราะถ้าต้องบินไปแวะที่อื่นก่อน เช่น LA จะต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่นี่ซึ่งจะใช้เวลานานมากและยังต้องลากกระเป๋าจากสายพานไปส่งต่อให้สายการบิน ซึ่งก็ไม่มีพิธีรีตองอะไร เพียงแต่ต้องลากกระเป๋าไปส่งต่อที่ๆ เขารับเท่านั้น ไม่ต้องเช็คอินใหม่ ทั้งๆ ที่จากไทยเรียกว่า “check กระเป๋า through to เช่น Denver แล้ว นานมาแล้วมีหมอที่ไปด้วยกันไม่ไปรับกระเป๋าไปส่งต่อเพราะได้รับการบอกเล่าว่ากระเป๋านั้น check through ไปปลายทาง แต่ถ้าเป็นอเมริกาเมืองแรกที่ลง ถึงแม้ยังไม่ถึงปลายทางต้องผ่าน ตม. ก่อนและไปรับกระเป๋าและลากไปส่งต่อ ก็ไม่ไกล อาจ 50-100 เมตรเท่านั้น แต่ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไม่ไปรับกระเป๋า
มีฝรั่งคู่หนึ่ง สามีภรรยา จากกรุงเทพฯไปนาริตะ บินเครื่อง ANA นั่งติดกับผม เขาไปเที่ยวไทยมาเป็นครั้งแรกชอบมากจึงคุยกันยกใหญ่ ทราบว่าเขาจะกลับ Denver เหมือนกันแต่จองตั๋วไปผ่าน LA (คงทั้งไม่รู้หรือเพราะตั๋วถูกกว่า) ซึ่งผมก็แปลกใจ เพราะจะเสียเวลามาก วางแผนไม่เก่ง ต้องมาเป็นลูกศิษย์ผม 555!? และเขาเองพอทราบก็เสียใจใหญ่ที่ซื้อตั๋วผ่าน LA ทั้งๆ ที่ไป LA เพื่อ transit เท่านั้น
ชีวิตคือการวางแผน!? เพราะชีวิตคือการบริหารความเสี่ยง!?
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี