พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นบุคคลที่กำลังถูกจับตา ว่าชีวิตหลังเกษียณของท่าน จะเป็นอย่างไร
ท่านเป็นคนที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจ ศรัทธา เชื่อถือ และกรี๊ด โดยเฉพาะในหมู่ “คนรุ่นใหม่” ซึ่งมิใช่จะเปิดรับ “คนรุ่นเก่า” ที่เป็น “ทหาร” ได้ง่ายๆ
1) วันก่อน แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า วันนี้เป็นการเข้าประชุมที่กองทัพบกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นปกติทุกเดือน จะต้องมาประชุมรายงานสถานการณ์ให้ ผบ.ทบ.ทราบแบบนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งต่อไปก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ยืนยันจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดจนถึงวันสุดท้าย
สถานการณ์ ชายแดนตอนนี้ยังคงพบการละเมิดหยุดยิงของกัมพูชา ทั้งเรื่องการยั่วยุ บินโดรน วางทุ่นระเบิดล้ำเขตแดน ซึ่งยังคงดำเนินการเก็บสถิติตลอดเวลา ส่วนแนวทางการตอบโต้นอกจากการยื่นหนังสือประท้วง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตามสภาพแวดล้อม ตามห่วงเวลาเช่นเดียวกับพื้นที่ปราสาทตาควายที่ฝ่ายกัมพูชายังคงอยู่ในตัวปราสาท ซึ่งทหารไทยเกาะอยู่ตามขอบปราสาทฯ พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่หากสภาพแวดล้อมเอื้อ พร้อมกับทำการประท้วงเพราะยืนยันว่าพื้นที่ปราสาทตาควายเป็นของไทย ส่วนความเห็นของชาวบ้านในพื้นที่มีความเห็นว่าอยากจะให้ดำเนินการตอบโต้หรือปะทะครั้งที่สอง ส่วนนี้ก็เป็นความคิดของคนในพื้นที่ แต่การดำเนินการจะต้องเป็นไปตาม สภาพแวดล้อมและสถานการณ์
2) ผู้สื่อข่าวได้ถามท่านว่า ผลงานที่เราได้ทำหากคิดเป็นคะแนน 100 คะแนนเต็ม แม่ทัพภาคสองให้คะแนนตนเองเท่าไหร่ แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า ไม่ทราบครับ นักเรียนทำข้อสอบให้คะแนนตัวเองไม่ได้ ต้องให้อาจารย์เป็นผู้ให้คะแนน แต่แล้วใครคืออาจารย์ผมก็ไม่ทราบแต่ถึงอย่างไรเราถือว่าเป็นโอกาสได้ช่วยเหลือประเทศชาติโดยหน้าที่ทหารอยู่แล้วซึ่งทำมาตั้งแต่เรียนจบมาแล้ว และเราก็ทำต่ออีก เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้รับรู้ว่าเราทำถูกต้องแล้วในการดูแลประเทศชาติ
3) พลโทบุญสิน กล่าวย้ำว่า แม้จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ยืนยันว่าจะยังคงช่วยงานของกองทัพอย่างแน่นอน แม้ไม่ได้แต่งเครื่องแบบทหารแล้ว ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อนๆ ได้ พร้อมยืนยันว่าจะไม่ทำงานด้านการเมือง และที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเราบอกว่าไม่ได้เล่นการเมือง เขาก็เปิดใจพูดคุยกับเรา ยืนยันตนจะรักษาสถานภาพนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามายุ่ง รับว่ามีคนติดต่อเข้ามา จะให้ตำแหน่งระดับสูงทางการเมือง แต่ก็ไม่เอา มองว่าไม่ยั่งยืน
4) ก่อนหน้านี้ ท่านก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า “การมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ในเวลา 1 ปี ถือว่าคุ้มค่า และหลังเกษียณก็จะเป็นที่ปรึกษาให้ผู้บัญชาการทหารบก ควบคู่ไปกับการทำงานมวลชนให้ข้อมูลในเรื่องความมั่นคง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้จะมีคนมาติดต่อไปเล่นการเมือง แต่ไม่ตอบรับ”
5) ใช่ครับ บทบาทที่ดีที่สุดของท่านหลังจากนี้คือการเป็น “คุณลุงแม่ทัพ” เดินสายพูดคุยกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ “ล้างใจ-ล้างอคติ” สานความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ท่านก็ทำมาได้เป็นอย่างดี
6) เช่น วันที่ 2 ก.ย.2568 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 บรรยายพิเศษในหัวข้อ วิสัยทัศน์หลักธรรมะ และการวางยุทธศาสตร์ป้องกันชายแดน ในวิชาอาณาเขตศึกษาให้กับนักศึกษาปี 1 ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พลโทบุญสิน กล่าวตอนหนึ่งว่า ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัด มาวันนี้ไม่ได้มาโน้มน้าวใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้คนไทยสามัคคีกัน เราต้องเริ่มทำอะไรเพื่อแผ่นดิน เพื่อประเทศชาติไม่ให้กลับไปหมือนเดิม ไม่ทะเลาะกัน เอาคนดีเข้าไปบริหารประเทศ ไม่เช่นนั้นก็จะวนมาเป็นเช่นเดิม ยืนยันตนไม่เล่นการเมืองแน่นอน เป็นสัญญาลูกผู้ชาย ตนได้หาที่ปฏิบัติธรรมรอแล้ว แต่ไม่รู้จะได้ทำหรือไม่
“ผมจะอยู่แบบนี้อยู่เป็นกลาง ดูความถูกต้องของประเทศชาติ เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน ผมชอบคำนี้ เพราะผมอยู่กับประชาชน ไม่ต้องถามว่า จะปฏิวัติหรือไม่ ไม่อยู่ในสมอง ผมมีเพื่อนเป็นผบ.ทบ.(พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์) ยืนยันว่าหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว แต่เราจะทำอย่างไร หาตัวแทน บริหารประเทศ คนที่มีวิสัยทัศน์ ทุกกระทรวง ทบวง กรม จะคัดคนพวกนี้ได้อย่างไร พวกเราต้องช่วยกัน คือสิ่งที่เราจะต้องทำต่อไป” พลโทบุญสิน กล่าวและว่า
อยากให้น้องๆ เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นหลายฝ่าย อย่าไปฟังคนเดียวแล้วเชื่อ แม้แต่ทั้งตัวของแม่ทัพก็อย่าเพิ่งเชื่อ จะเห็นว่าที่ผ่านมาประชาชนก็ไม่เชื่อแม่ทัพกุ้ง แต่ต้องทำให้เขาเห็น พาลูกน้อง ไปเอาแผ่นดินคืน เขาก็จะเห็นเอง สิ่งที่เขามาต้อนรับผมในวันนี้ นั่งรถไฟมา มากอดน้ำตาร่วง ผมไม่ได้ไปโน้มน้าว ไปล้างสมอง วันนี้มาพูดคุยก็ไม่ได้เตรียมอะไรมา
พลโทบุญสิน ย้ำว่า มีศัตรูกัมพูชาก็พอแล้ว ไม่อยากทะเลาะกับคนไทย เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนภาคไหนก็เป็นคนไทยด้วยกัน ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สงครามที่ใดหากประชาชนไม่เอาด้วย คุณแพ้ ตั้งแต่คิด ต่อให้คุณจะมีพลังขนาดไหนก็ตาม คำพูดนี้ยังใช้ได้ ดังนั้นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ควรรักษาไว้ให้ดี คนรุ่นใหม่ต้องทำให้ ทำให้คนไทยเป็นหนึ่งเดียว แล้วเอาคนดีไปปกครองบ้านเมืองให้ได้
7) วันที่ 17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงความภาคภูมิใจใน “ธงชาติ” ซึ่งประกอบด้วยสีแทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเขามองว่าเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยและควรค่าต่อการรักษาไว้
“แม่ทัพเอาเรื่องพวกนี้มาพูด คือ ให้พวกเรายึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องรักษาไว้ ใครพูดอะไรที่จะทำให้ 3 สถาบันนี้ไขว้เขวต้องคิดให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับประเทศไทยเรามานานแล้ว”
ทั้งนี้ “สีแดง” ของ “ชาติ” ในนิยามของบุญสิน คือ แผ่นดินและคนที่อยู่ในแผ่นดิน โดยทหารทำหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดิน พร้อมเน้นย้ำว่า “เราจะไม่ยอมเสียแผ่นดินอีก” และอยากให้ทุกคนร่วมกัน “ทำให้เป็นสีแดงของชาติเป็นสีเลือดหมูเข้ม”
ขณะที่ “สีขาว” ของ “ศาสนา” ถูกเชื่อมโยง “ศาสนาพุทธ” โดยตรง คือ การเชิญชวนให้ผู้ฟังรักษาศีล 5 และเน้นย้ำหัวข้อเกี่ยวกับการโกงและประโยชน์ส่วนรวม แม้จะกล่าวว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่คนไม่ดีคือคนที่ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนที่กำหนดไว้ก็ตาม
ส่วน “สีน้ำเงิน” ของ “สถาบันพระมหากษัตริย์” บุญสินกล่าวว่า สถาบันฯ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยมาตั้งแต่อดีต แม้แต่ในรัชกาลปัจจุบัน ในหลวงยังคงเป็นห่วงประชาชนทุกคน โดยรับคนไข้ ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต จากเหตุความขัดแย้งชายแดน เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งหมด
“พระเจ้าอยู่หัวเป็นห่วงอยู่ทุกวัน ท่านรับคนไข้ คนป่วย คนเจ็บ จากการรบ เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทุกคน นั่นคือพระเจ้าแผ่นดิน พวกเราอาจจะไม่ทราบ ถ้าแม่ทัพไม่เอามาเล่าให้ฟัง” (5 ก.ย. 2568 รร.เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ)
สุดท้ายนี้ บุญสินเน้นย้ำว่า สามสถาบันดังกล่าวมีความสำคัญกับประเทศ หากคนไทยมีความสามัคคีและความรักต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง นานาประเทศจะชื่นชมในความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนไทย และกองทัพจะสามารถพัฒนาอย่างเข้มแข็งหากมีความสามัคคี
8) พล.ท.บุญสิน เชื่อมโยงการสละชีพของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อนกับการยืนเคารพ “เพลงสรรเสริญพระบารมี” และ “เพลงชาติ” ไว้ในหลายๆ ที่ว่า...
“แค่ยืนขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่ถึง2 นาที ยังทำไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย มันอายอะไร กับความเหนื่อยยาก ความเสียสละของบรรพบุรุษ พระมหากษัตริย์” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
นอกจากนั้น บุญสินยังบอกนักเรียนที่เข้าฟังการบรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่า “น้องๆ ทุกคนถ้ามีโอกาสร้องเพลงชาติให้ร้องดังๆ ยืนให้ตรง แล้วร้องออกมาจากหัวใจ” เพราะทุกคนยังมีแผ่นดินและเพลงชาติเป็นของตัวเอง ต่างจากเด็กที่อาศัยอยู่ใน “ศูนย์อพยพ” บริเวณชายแดน
“พวกเธอมีแผ่นดินยืนและมีชาติของตัวเองขณะที่ศูนย์อพยพไม่มีแม้แต่โอกาสได้ร้องเพลงชาติและมีแผ่นดินอยู่ พวกเราไม่ต้องอายครับ ตะโกนออกมา ร้องดังๆ ให้ชาติอื่นได้ยิน ว่ากูนี่แหละคนไทย” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
ช่วงท้ายของการบรรยายที่ขอนแก่น มีผู้ร่วมฟังการบรรยายถือภาพแม่ทัพภาคที่ 2 ธงชาติ และประดับตัวด้วยธงชาติ กล่าวพร้อมสะอื้นว่า
“ผมเองเกิดมาในยุคที่ทุกคนยืนเคารพธงชาติในทุกที่…เมื่อเพลงชาติขึ้น ทุกคนต้องหยุดและยืนตรง แต่มายุคที่บอกว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” หลายคนนั่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินเสียงเพลงชาติดัง แล้วคนที่ยืนตรงคือคนที่ “คลั่งชาติ”แต่วันนี้ที่ท่านทวงคืนแผ่นดินไทยให้เรา ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ทหารมีไว้ทำไม ทุกคนรู้แล้วว่าเราควรยืนตรงเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมิใจ เพราะนี่คือเลือดเนื้อของทหารทุกท่าน”
สรุป : อย่านำท่านเข้าสู่วงการเมืองเลยนะครับให้ท่านเป็น “คุณลุงแม่ทัพ” ขวัญใจคนรุ่นใหม่รุ่นเก่า ปลูกฝังความรักและความภาคภูมิใจใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้แก่สังคมของเราจะดีกว่า
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี