19 ก.ย. 2568- นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
บ่ายวันนี้ผมได้พูดคุยกับเพื่อน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เชิญท่านเดินทางมาเยือนมาเลเซีย หลังจากที่ท่านได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน
เราหารือเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดเกี่ยวกับชายแดน ประเทศไทย-กัมพูชา โดยผมย้ำว่า มันสําคัญสําหรับทุกฝ่ายที่จะรักษาความเรียบร้อยและไม่ให้การเผชิญหน้าใดๆ มาสร้างความตึงเครียดโดยไม่จําเป็น
ผมขอเรียกร้องให้นำความขัดแย้งในทุกประเด็น ขึ้นสู่โต๊ะเจรจา ผ่านการประชุมคณะกรรมการร่วมชายแดน (JBC) มาเลเซีย เชื่อว่า การเจรจา การทูต และการสร้างความเข้าใจ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับประกันความสงบและความมั่นคงของภูมิภาค
1) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า นายอันวาร์ ได้โทรมาหาตนจริง พร้อมกล่าวว่า หากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว หวังว่าจะได้พบกันโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นการเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งตนพร้อมเดินทางไปอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองจานเลย ยืนยันว่ายังไม่สามารถพูดได้ เพราะยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ขณะนี้ยังมีรัฐบาลรักษาการอยู่ ตนจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องนโยบายและข้อสั่งการต้องรอให้มีการแถลงนโยบายต่อสภาเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งยังมีขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ขณะนี้เราก็เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
ส่วนที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โทรหานายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ให้เข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น นายอนุทิน กล่าวว่า
“ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของประเทศไทยได้ เรื่องการพูดคุยก็เป็นคนที่รู้จักกันทั้งนั้น แต่เมื่อมาถึงจุดที่เราต้องรักษาประโยชน์ ขอให้มั่นใจว่า เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งแล้ว ต้องยึดประโยชน์ ศักดิ์ศรี อธิปไตย เกียรติภูมิของประเทศไทย เป็นเป้าหมายหลักอยู่แล้ว ไม่มีใครเคลียร์ได้”
นับเป็นท่าทีที่ดี และชัดเจน
2) ข้อดีของการมีนายอนุทินประการแรก คือ เขาไม่มีประโยชน์ร่วมและประโยชน์แฝงกับ “ผู้นำกัมพูชา” ไม่ว่าจะในทางลับหรือทางเปิดเผย จึงไม่ต้อง “ตกเป็นเบี้ยล่าง” เหมือนนายกฯ คนก่อน “แพทองธาร ชินวัตร” ที่จนบัดนี้ก็ยังเป็นที่สงสัยอย่าว่า บิดาของเธอ “ทักษิณ ชินวัตร” ติดค้างหรือถูก “ฮุนเซน” กุมความลับอะไรเอาไว้ นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ราชอาณาจักร? ไทยดำรงไว้ซึ่งอธิปไตย เกียรติยศ และศักดิ์ศรีอย่างเต็มภาคภูมิ
3) ต้องรู้ว่า สถานการณ์ทางการเมืองของกัมพูชา ภายใต้การนำของ “ฮุน มาเนต” นั้น ไม่ค่อยดีนัก
สื่อกัมพูชา “แคมโบเดียเดลี” ตีข่าวว่า The Diplomat สื่อการเมืองชื่อดังที่มีสำนักงานในวอชิงตัน เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ระบุว่า กัมพูชายังคงเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดของโลก รั้งอันดับ 158 ในดัชนีคอร์รัปชั่นโลก และ 141 ในอันดับดัชนีหลักนิติธรรมโลกของปี 2014 พร้อมชี้สภาพการณ์ต่างๆ นานาเหล่านี้บ่อนทำลายผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว และทำร้ายความผาสุกของพลเมือง
รายงานของ The Diplomat ระบุว่า ช่วงเวลา 2 ปีในการอยู่ในอำนาจของฮุน มาเนต แปดเปื้อนไปด้วยการปราบปรามทางการเมือง จับกุมและคุมขังฝ่ายต่อต้านเป็นประจำ ในนั้น-รวมถึงบรรดาสหภาพแรงงาน นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และพวกผู้ปกป้องสิทธิที่ดินทำกิน
ในรายงานชี้ว่า ความปรารถนาของกัมพูชาในการดีดตัวขึ้นสู่สถานะประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง ต้องถอยหลังยิ่งกว่าเดิม อันเนื่องจากมาตรการรีดภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯและต่างชาติลดการลงทุน ซึ่งทั้ง 2 ประการอาจฉุดเศรษฐกิจกัมพูชาชะลอตัว
จนถึงวันที่ 17 กันยายน ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นเวลา 2 ปี 27 วัน หลังจากสืบทอดเก้าอี้ผู้นำประเทศมาจาก ฮุนเซน บิดาของเขา ในวันที่ 22 สิงหาคม 2023
พวกนักวิเคราะห์และนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาให้สัมภาษณ์กับแคมโบเดียเดลี ว่าจนถึงตอนนี้ ฮุน มาเนตทำหน้าที่ผู้นำภายใต้เงาของผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาดูเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีฝึกหัด มากกว่าที่จะเป็นผู้นำอิสระคนหนึ่ง
ซิง เซนการุณา (Soeng Senkaruna) หัวหน้าองค์กรประชาธิปไตยเขมร (Khmer Democracy Organization) กล่าวว่าในช่วง 2 ปีที่ ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่ง แสดงให้เห็นว่าการบริหารงานส่วนใหญ่ของเขาอยู่ภายใต้คำสั่งของฮุุนเซนแทนที่จะผ่านศักยภาพหรือวิสัยทัศน์ของตนเอง เขาชี้ว่าแม้ทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลมานานกว่า 2 ปี แต่ ฮุน มาเนต ไม่ได้แสดงถึงความสามารถใดๆ ในการนำพากัมพูชาอย่างเป็นอิสระ ในขณะที่ผู้เป็นพ่อยังคงควบคุมอำนาจโดยเด็ดขาด
4) ฮุน เมาเนต นั้น อยู่ในสภาพ “ลูกแหง่” และ “หุ่นเชิด” ของ ฮุนเซน” ผู้เป็นพ่อ โดยที่ฮุนเซน ก็หาใช่ “สุจริตชน” ที่โลกยอมรับไม่
ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส ไทยพีบีเอส วิเคราะห์ว่า
ไม่มีใครรู้ว่า สมเด็จฮุนเซน มีทรัพย์สินจริงมากน้อยแค่ไหน แต่ข้อมูลเมื่อปี 2559 จากรายงานของ Global Witness หรือองค์กรสืบสวนระหว่างประเทศ เพื่อเปิดโปงการแสวงประโยชน์จากการทุจริตฯ ระบุว่า ครอบครัวของฮุนเซนมีทรัพย์สินมหาศาลกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการถือครองหุ้นบริษัทในประเทศ อย่างน้อย 114 แห่ง ครอบคลุมทั้งพลังงาน การสื่อสาร เหมืองแร่และการค้า แต่ทางการกัมพูชาปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาโดดเด่น ทั้งการควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ และเครือข่ายธุรกิจ ด้านหนึ่งเป็นเพราะปราศจากคู่แข่ง แม้แต่ด้านการเมือง เพราะพรรคฝ่ายค้านจะถูกกำราบ โดยใช้ทั้งการออกกฎหมายสกัดกั้น และ “นิติสงคราม” หรือการใช้ทุกองค์กรในกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ รวมถึงการไล่ล่า แม้จะหลบหนีไปลี้ภัยต่างประเทศ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอด
อย่างกรณีของนายลิม คิมยา อดีต สส.และฝ่ายค้านของกัมพูชา ที่ถูกยิงเสียชีวิตในประเทศไทย สำนักข่าวอัล-จาซีรานำเสนอเบื้องหลังข่าวนี้ ระบุว่า คลิปเสียงคำสั่งไล่ล่า ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พิสูจน์แล้วว่า เป็นเสียงของสมเด็จฮุนเซนแต่ทางการกัมพูชาปฏิเสธเช่นกัน
อ้างว่าเป็นเสียงเอไอ แต่หากเป็นจริง ดังที่สื่อระดับโลกแห่งกาตาร์อ้างถึง เท่ากับแสดงว่า เขามีเครือข่ายและบารมีข้ามประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย
ฉากหลังของ “ระบอบฮุนเซน” ได้ใช้วิธีการปลุกกระแสชาตินิยมลักษณะโฆษณาชวนเชื่อดึงมวลชนช่วยค้ำบัลลังก์ โดยเจ้าแม่สื่อ คือ ฮุน มะนา ลูกสาวคนโต ที่เป็นเจ้าของหุ้นสื่อใหญ่ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกัมพูชา รวมทั้งทีวีบายนหรือบายัน ยังไม่นับสื่อแห่งชาติของกัมพูชาที่คอยสนองตอบรัฐบาล
ขณะที่นายพลฮุน มาเนต ลูกชาย ปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ใหญ่เป็นผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ แทนสมเด็จฮุนเซน จากการเลือกตั้งครั้งหลังสุด ที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้านเป็นคู่แข่ง
และเพราะการบริหารประเทศที่ไม่ประสบความสำเร็จ จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ผลจากนโยบาย และความล้มเหลวจากการสนับสนุนให้กลุ่มทุนจากประเทศจีน เข้าไปลงทุนในประเทศ
รวมทั้งพัฒนาเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างสีหนุวิลล์จนเต็มไปด้วยสถานบันเทิงครบวงจร และกาสิโน ตั้งแต่ปี 2556 ที่กลายเป็นศูนย์รวมของกลุ่มมิจฉาชีพรายใหญ่ “แก๊ง 14 เค” จากจีน ที่เข้ามาลงทุนและขยายอาณาจักร โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักและนักเสี่ยงโชค ที่ไปเล่นการพนันในกาสิโน จนกลายเป็น“ไชน่าทาวน์” เพราะมีคนจีนอาศัยและเข้า-ออกมากกว่า 5 แสนคน เมื่อครั้ง “พีค” สุดขีด
แต่ผลที่ตามมา ไม่เพียงติดหนี้สินพนันล้นตัวเท่านั้น ยังนำไปสู่แก๊งอาชญากรเรียกค่าไถ่จากครอบครัวในประเทศจีน และก่อให้เกิดเงินทุนนอกระบบ และเงินทุนไหลออกจากประเทศจีน กระทั่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในฐานะ “พี่ใหญ่” ที่หนุนหลังและคอยช่วยเหลือกัมพูชา ต้องทำหนังสือถึงสมเด็จฮุนเซนเมื่อปี 2562 ขอความร่วมมือแกมบังคับ ให้ปราบปราบกลุ่มแก๊งอาชญากรเทาจีนในประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2562 นำไปสู่การเป็นเมืองร้างของเมืองสีหนุวิลล์ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ยิ่งเมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องสามเหลี่ยมมรกต ชายแดนไทย-กัมพูชา และลุกลามบานปลาย
ผู้นำกัมพูชาประกาศนำพื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก ปฏิเสธไม่ใช้เวทีเจบีซีเจรจาหาทางออก ทั้งเรียกแรงงานกลับประเทศ ประกาศไม่ซื้อสินค้าและน้ำมันจากไทย และใช้มาตรการปิดด่านชายแดนตอบโต้ฝั่งไทย กลายเป็นความเดือดร้อนของชาวกัมพูชาอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ข้อมูลจากเวทีแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ทำเนียบฯ ระบุว่า กัมพูชาสูญเสียรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายไปแล้วประมาณ 30,000 ล้านบาท จากมาตรการที่ไทยใช้ตอบโต้กัมพูชา จึงเป็นอีกหนึ่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ภายใต้การขับเคลื่อนและเป็นผู้บัญชาการ รวมทั้งตัดสินใจสำหรับการตอบโต้กลับรัฐบาลไทย ของสมเด็จฮุนเซน เพื่อหวังโยนผลพวงต่างๆ ว่า เกิดจากรัฐบาลไทย เป็นการปกปิดและเบี่ยงเบนประเด็นไปจากเรื่องฝีมือบริหารประเทศที่ล้มเหลวของทายาท
ถือเป็นวิบากกรรมตอนแก่ ไม่ต่างจากการถูกสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กล่าวหาว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน ทั้งที่ประชาชนคนกัมพูชาไม่ได้รู้เห็น และไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้เลย
สรุป : ด้วยเหตุนี้ นายอนุทิน จึงไม่จำเป็นต้องหงอหรือต้องง้อกัมพูชาในทุกกรณี หากแต่ต้องชัดเจน แข็งกร้าว และเรียกร้องความรับผิดชอบทั้งหมดในสิ่งที่กัมพูชาได้กระทำกับทหารและพลเรือนไทย ในทุกเวที ทั้งเวทีทวิภาคี เวทีอาเซียน และเวทีโลก ด้วยการโปรยความจริงผ่านข้อมูล หลักฐาน เอกสาร ทั้งหมดที่มี ให้ทุกเวทีเห็นความอันธพาล ไร้กติกา และไร้มนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา ทั้งฮุนเซนและฮุน มาเนต
อีกด้านหนึ่ง ต้องจัดทำข้อมูลทั้งหมดเป็นภาษาเขมร แล้วหว่านโปรยลงไปในโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อ“ปลดปล่อยประชาชนกัมพูชา” ออกจากการถูก “ครอบงำ” ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จและปลุกปั่นให้เกลียดชังไทย อย่างเป็นระบบ มาก...เท่าที่จะมากได้ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี