สถานการณ์บ้านเมืองมาถึงวันนี้ดูเหมือนว่าได้ยอมรับนับถือกันทุกฝ่ายแล้วว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงรุนแรง ถึงขั้นที่คนบางพวกกล่าวว่าปีหน้าถึงเวลาเผาจริง และจะเป็นการเผาใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อครั้งต้มยำกุ้งหลายเท่า
เพราะเมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มีฤทธิ์มีเดชมาก สามารถกู้เงินต่างประเทศได้มาก ดังนั้น เมื่อสาเหตุของวิกฤติเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินและการเก็งกำไรค่าเงิน ผู้ที่เคยได้รับประโยชน์จากการกู้ยืมเงินต่างประเทศจึงต้องประสบชะตากรรม
เป็นเหตุให้ล้มหายตายจากกันไปเป็นจำนวนมากในขณะที่ภาคธุรกิจพื้นฐานยังดำรงคงอยู่ ส่วนภาคธุรกิจระดับกลางใน 5 ส่วน เสียหาย 2 ส่วน และยังคงดีอยู่อีก 3 ส่วน ทำให้พื้นฐานข้างล่างที่ประกอบกับระดับกลางที่เหลืออยู่ได้เป็นกำลังฟื้นฟูบ้านเมืองและเศรษฐกิจของประเทศชาติในเวลาต่อมา
แม้จะมีการยอมรับทั่วไปแล้วว่าประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังซัดทอดความรับผิดชอบกันและไม่มีใครยอมรับผิดชอบแม้แต่รายเดียว ซึ่งตรงนี้จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติ การโบ้ยไปโบ้ยมาที่สำคัญคือ
พวกหนึ่งโบ้ยว่าวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เป็นผลกระทบมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและกำลังเกิดวิกฤติ ที่กล้าหาญชาญชัยกล้าพูดกล้าจาหน่อยก็โยนตูมลงไปว่าเป็นเพราะคนบ้าครองอำนาจในประเทศมหาอำนาจจึงทะเลาะวิวาทกับชาวโลกไปทั่ว ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายและเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจขึ้น ก็นับว่าถูกส่วนหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด
พวกหนึ่งก็โบ้ยว่าวิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดขึ้นเพราะมีความขัดแย้งภายในประเทศอย่างรุนแรง มีความแตกแยกแตกสามัคคีชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้กระทั่งเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ยกพวกตั้งหน้าด่าว่าทะเลาะเบาะแว้งกัน ยิ่งในทางการเมืองด้วยแล้วก็กัดฟัดกันยิ่งกว่าฝูงหมาแย่งชามข้าว จนกระทั่งหาผู้ใดนับถือเลื่อมใสมิได้เลย ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งไม่ทั้งหมด ที่สำคัญคือใครเล่าที่เป็นต้นตอทำให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคีหรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาความแตกแยกแตกสามัคคีได้ แล้วรับผิดชอบอะไรบ้าง
พวกหนึ่งก็อ้างว่าอำนาจในการดูแลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นได้ถูกกระจายไปให้กับหลายพรรคการเมือง ซึ่งไปกันคนละทิศละทาง และนักการเมืองพวกหนึ่งที่ไม่ใช่แกนนำของรัฐบาลล้วนเป็นพวกไม่เอาไหน คิดเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ทำอะไรไม่เป็น มิหนำซ้ำยังแอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่เพื่อนอีก ซึ่งก็ถูกบางส่วนแต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะห้าปีที่ผ่านมามีการรวมศูนย์อำนาจการบริหารเศรษฐกิจไว้ที่คนกลุ่มเดียว แต่ไฉนเล่านอกจากเศรษฐกิจจะไม่กระเตื้องเฟื่องฟูขึ้นแล้วกลับทรุดหนักลงทุกด้าน
พวกหนึ่งซึ่งเป็นพวกมากและเสียงดัง พากันรุมสกรัมอย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศว่า เหตุแห่งความฉิบหายทางเศรษฐกิจของประเทศก็เพราะการทำงานไม่เป็น ไร้สติปัญญาความสามารถ คิดเป็นทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือเอาเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีอากรของประชาชนไปแจกไปแถม และเอาใจซื้อใจข้าราชการให้ร่วมมือด้วยการให้ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ที่สุด กระทั่งสร้างเป็นรัฐราชการที่ทั่วโลกเขาโยนทิ้งกันไปหมดแล้ว
ซึ่งก็ถูกแต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรเงินทองที่แจกไปแถมไปหรือหว่านโปรยไปนั้นก็ทำให้ประชาชนที่โง่เขลาเบาปัญญาเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวและมีเถยจิตเป็นขอทานมีความยินดีปรีดาเป็นอันมากแล้วช่วยกันเทคะแนนเสียงให้ จึงทำให้บ้านเมืองมีนักการเมืองดังสภาพที่เห็นกันอยู่
ก่อนจะล่าสุดนี้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกระตุ้นกันมามากครั้งมากรอบเต็มที ถ้าหากเปรียบกับคนป่วยที่ต้องกระตุ้นหัวใจก็คงกระตุ้นกันจนซี่โครงหักไม่เหลือแม้แต่ซี่โครงเดียวแล้วหรือไม่ก็ตายคาที่กันไปแล้วก็ได้ โดยมาตรการที่ออกนั้นคือมาตรการชิมช้อปใช้ ซึ่งแจกหว่านโปรยเงินหลายครั้งหลายหน แต่ได้แต่ความพอใจของพวกมีเถยจิตคิดอยากได้เงินเท่านั้น ไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะเงินเกือบทั้งหมดเมื่อหว่านโปรยไปแล้วก็ไหลไปเข้าพกเข้าห่อเจ้าสัวเกือบทั้งหมด มิได้ไหลเวียนเหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ที่ราก ที่เมื่อรากซึมซับน้ำแล้วก็ส่งน้ำและอาหารสู่ลำต้น ก้าน กิ่ง ใบ ทำให้ออกช่อออกดอกออกใบได้ แต่นี่ลงถึงรากปุ๊บก็ไปที่ยอดคือเจ้าสัวโดยผ่านท่อลำเลียงพิเศษคือระบบไอทีของเจ้าสัวนั่นเอง สิ่งที่เรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีผลเพียงแค่เพิ่มเงินให้กับเจ้าสัวเท่านั้น
ล่าสุดก็มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้วโดยมาตรการสองมาตรการสำคัญคือ
มาตรการแรก ช่วยเหลือค่าซื้อบ้านให้กับประชาชนหลังละ 50,000 บาท จำนวน 100,000 ราย ซึ่งเท่ากับใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท จากภาษีของประชาชน ให้ประชาชน 100,000 คน ไปซื้อบ้าน 100,000 หลัง ในราคาหลังละประมาณ 1 ล้านบาท โดยผู้ขายก็ย่อมเป็นพวกเจ้าสัวบ้านจัดสรรนั่นแหละ เงินก็จะไหลเข้ากระเป๋านักจัดสรรเป็นเงิน 100,000 ล้านบาท แต่ภาคประชาชนจะมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น 100,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย และเป็นรายจ่ายของรัฐจากภาษี 5,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.3-0.5%
มาตรการที่สอง ช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านอีกประการหนึ่งเป็นมาตรการจูงใจพิเศษ คือ ช่วยให้ประชาชนผ่อนซื้อบ้านในปีแรกเดือนละ 10 บาท ต่อค่าซื้อ 1 ล้านบาทเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งก็คือเอาเงินงบประมาณไปช่วยเหลือให้กับสถาบันการเงินและจูงใจให้ประชาชนซื้อบ้านจำนวน 100,000 ราย ก็จะเป็นมูลค่าอีก 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ครัวเรือนต่อไป และหลังจาก 1 ปีไปแล้วจะผ่อนบ้านไหวหรือไม่ไหว หรือจะเป็นหนี้สินพอกพูนขึ้นจนล้มละลายก็สุดแท้แต่เวรกรรม ซึ่งอาจทำให้มี GDPเพิ่มขึ้นอีก 0.3%
ก็ทำกันอยู่เท่านี้จริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้อย่างไร!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี