ขณะนี้ข่าวดังสนั่นหวั่นไหวที่ส่งผลกระทบจิตใจและบรรยากาศการเมืองไทยเรื่องหนึ่งก็คือข่าวการแก้ไขกฎหมายกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทบกับพระราชอำนาจโดยตรงในสาระสำคัญสองเรื่อง คือ
เรื่องแรก มีสองประเด็น ประเด็นแรกคือการแก้ไของค์ประกอบของสภากลาโหม ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจแต่งตั้งนายทหารระดับนายพลโดยเดิมทีนั้นมีกรรมการจากฝ่ายข้าราชการประจำ 4 คน คือผู้บัญชาการเหล่าทัพ 3 คน และผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีก 1 คน โดยมีฝ่ายการเมืองอย่างมากที่สุดเพียง 3 คน คือรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และปลัดกระทรวงกลาโหม
การกำหนดโครงสร้างดังกล่าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารจนผิดฝาผิดตัว ดังนั้นกรณีใดก็ตามที่เป็นปัญหาดังกล่าว ซึ่งผู้บัญชาการเหล่าทัพก็จะมีความเห็นไปในทางเดียวกันแล้ว ฝ่ายการเมืองก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้นฝ่ายประจำก็มักจะถ้อยทีถ้อยฟังความคิดเห็นของฝ่ายการเมืองตลอดมา
ประเด็นที่สอง คือการย้ายข้าราชการทหาร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็ยังยึดหลักดั้งเดิมว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทย ทรงมีพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม ดังนั้นการแต่งตั้งหรือโยกย้ายทหารจึงต้องกระทำโดยพระบรมราชโองการ
เหตุทั้งนี้ก็เพราะว่าทหารคือผู้พิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ ความมั่นคงและความมั่งคั่งของราชอาณาจักร รวมทั้งการพิทักษ์ปกป้องพระบรมเดชานุภาพและความปลอดภัยของราชบัลลังก์ด้วย อำนาจนี้จึงได้รับการยอมรับในหลักการทั่วไปตลอดมาว่าเป็นอำนาจพิเศษและเฉพาะของพระมหากษัตริย์ ที่ฝ่ายการเมืองจะต้องไม่เข้าแทรกแซงเกี่ยวข้องลิดรอนโดยเด็ดขาด
ทั้งสองประเด็นในเรื่องแรกนี้จึงเป็นเรื่องของฝ่ายทหารโดยตรง เป็นเรื่องของพระราชอำนาจที่ไม่อาจลิดรอนได้และเป็นหลักใหญ่ใจความของความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และราชอาณาจักรไทย
เรื่องที่สอง คือเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษา ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็ยอมรับนับถือกันตลอดมาว่าเป็นพระราชอำนาจเฉพาะและพิเศษของพระมหากษัตริย์ เพราะศาลทั้งหลายรวมทั้งผู้พิพากษาทั้งหลายนั้นคือผู้ทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ มีอำนาจประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้แก่อาณาประชาราษฎรทั้งหลายโดยทัดเทียมกัน
เพราะเหตุที่ศาลและผู้พิพากษาทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ จึงมีฐานะประหนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ เมื่อขึ้นนั่งบัลลังก์พิจารณาอรรถคดี
แล้วก็จะได้รับการยอมรับนับถือว่ากระทำการอยู่ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ สามารถพิพากษาประหารชีวิตบุคคล หรือจำคุก หรือริบทรัพย์สิน หรือปรับ หรือพิพากษาในทางแพ่งได้ตามกฎหมาย และบรรดาคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นก็จะได้รับการบังคับให้เป็นไปตามนั้นอย่างเที่ยงตรง
เพราะเหตุนี้การแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาจึงต้องกระทำโดยพระบรมราชโองการ และผู้พิพากษาตุลาการทั้งหลายเมื่อจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ก็จะต้องถวายสัตย์ต่อหน้า
พระพักตร์พระมหากษัตริย์ว่าจะทำการในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์ตามที่กฎหมายบัญญัติเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรชาวสยามตลอดไป
ทั้งสองเรื่องนี้ได้รับการยอมรับนับถืออย่างเหนียวแน่นตลอดมา ไม่ว่าในยุคปฏิวัติรัฐประหาร ยุคเผด็จการ หรือยุคเผด็จการรัฐสภาก็ไม่เคยมีผู้ใดแตะต้องหรือก้าวล่วง เพราะทราบดีว่านี่คือราชนิติสำคัญที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติราชอาณาจักรและความปลอดภัยแห่งพระราชบัลลังก์ด้วย
ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์อันยาวไกลของประเทศไทย มีเพียงครั้งเดียวที่รัฐบาลเผด็จการทรราชถนอม กิตติขจร มีความกำเริบคิดลิดรอนยึดอำนาจนี้จากพระมหากษัตริย์ จึงให้กระทรวงยุติธรรมแก้ไขกฎหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถมีคำสั่งย้ายผู้พิพากษาได้
เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง และเกิดการประท้วงข้ามวันข้ามคืนครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประท้วงของประเทศไทย และต่อเนื่องไปถึงกรณีกบฏรัฐธรรมนูญ และเป็นเหตุให้รัฐบาลถนอมล้มครืนลงจนไม่มีแผ่นดินอยู่ในที่สุด
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องอำนาจสำคัญทั้งสองเรื่องดังกล่าวนี้อีกเลย จู่ๆ รัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2566 ไม่รู้ว่าไปกินดีหมีดีเสือมาจากไหน จึงคิดลิดรอนพระราชอำนาจนี้โดยคาดคิดไม่ถึงและเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย นั่นคือเรื่องทหาร นัยว่าต้องการจะป้องกันไม่ให้ทหารยึดอำนาจ จึงเตรียมการจะแก้ไขกฎหมายกลาโหมในสองประเด็นดังกล่าว
การแก้ไขกฎหมายกลาโหมทั้งสองประเด็นดังกล่าวจะเกิดผลที่สำคัญคือ
ข้อแรก ฝ่ายการเมืองซึ่งมีองค์ประกอบในสภากลาโหมมากเด็ดขาดจะมีอำนาจแต่งตั้งทหารระดับนายพลได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องฟังเสียงผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดเลยก็ได้ ดังนั้น ทหารระดับนายพลจากการแต่งตั้งดังกล่าวคงจะไม่ต่างกับตำรวจที่เน่าเฟะเละเทะเป็นที่พึ่งอันใดไม่ได้
ข้อสอง ฝ่ายการเมืองจะใช้อำนาจล่วงหน้าเหนือพระมหากษัตริย์ โดยจะสามารถย้ายนายทหารได้เองโดยไม่ต้องมีพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ก่อน
ทั้งสองประการนี้คือการยึดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางที่เกี่ยวกับทหารอย่างรุนแรงที่สุด และจะเป็นการเปิดประตูให้กับความไม่มั่นคงปลอดภัยของเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติและราชบัลลังก์
ก็ได้แต่หวังว่าฝ่ายการเมืองจะไม่ประสบความสำเร็จในการยึดพระราชอำนาจนี้ ซึ่งจะต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าทำอย่างนี้เพราะคิดอะไร ประสงค์อะไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี