มหากาพย์ค่าโง่โฮปเวลล์ คือ ผลพวงที่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว
แต่ก็เหมือนกับทุกเรื่อง ที่รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถปัดความรับผิดชอบที่จะต้องเข้าไปดูแลแก้ไข ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวมให้ดีที่สุด
ถ้ายอมจ่ายตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดยไม่ต้องไปทำอะไร ยอดเงินน่าจะอยู่ที่ราวๆ 24,000 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ย)
แต่นั่นเท่ากับละเลยการได้ทำหน้าที่สำคัญ คือ การตรวจทานความถูกต้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ
1. “โฮปเวลล์” คือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับ ในกรุงเทพมหานคร
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2532 (รัฐบาลพลเอกชาติชาย) มีมติเห็นชอบในหลักการ ให้กระทรวงคมนาคมไปดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง
มีเอกชนยื่นข้อเสนอรายเดียว คือ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้งส์ Hopewell Holdings Ltd.(Hong Kong) ของ นายกอร์ดอน วู
การลงนามเกิดขึ้นในยุครัฐมนตรีคมนาคม ชื่อ นายมนตรี พงษ์พานิช เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2533
เป็นสัญญาร่วมทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และเอกชน ซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติ
แต่หลังจากนั้น โครงการก็สร้างไม่เสร็จ มีปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ก่อนจะมีการบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20 ม.ค.2541
สุดท้าย เอกชนก็เลยฟ้องเรียกค่าเสียหาย ในขณะที่ ร.ฟ.ท.ก็เรียกร้องค่าเสียโอกาสด้วยเช่นกัน
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2562 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา สั่งกระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท.จ่ายค่าเสียหายให้ โฮปเวลล์ โฮลดิ้งส์ จำกัดจำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ภายใน 180 วัน
2. ล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวถึงการจัดการกรณีนี้
ระบุว่า หลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ได้ตั้งคณะกรรมการศึกษากรณีการจ่ายค่าชดเชยให้บริษัทโฮปเวลล์ฯ ซึ่งได้รับข้อมูลจากผู้ที่หวังดีต่อประเทศชาติ เพราะเล็งเห็นว่าหากจะจ่ายเงินให้โครงการดังกล่าว ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อีกทั้งยังพบข้อพิรุธหลายประการที่หน่วยงานของรัฐไม่นำไปเป็นคู่ต่อสู้คดีในช่วงที่ผ่านมา
ข้อพิรุธ 9 ข้อ มีดังต่อไปนี้
“1.วันที่ 6 ต.ค.2532 รายละเอียดโครงการไม่ตรงตามมติ ครม.
2. วันที่ 16 ต.ค.2532 การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ รวดเร็วผิดปกติ และให้สิทธิประโยชน์มากกว่าตามหลักการที่เป็นมติ ครม.
3. วันที่ 15 ม.ค.2533 มีการแทรกแซงรายละเอียดโครงการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในขณะนั้น และคณะกรรมการฯ มีการเอื้อประโยชน์ให้โฮปเวลล์ฮ่องกง
4. วันที่ 31 พ.ค.2533 โฮปเวลล์ฮ่องกง เสนอเงื่อนไขไม่ตรงตามประกาศของคณะกรรมการฯ
5.วันที่ 6 ก.ค.2533 มีความผิดปกติในการร่างสัญญาสัมปทาน และการลงนามในสัญญาสัมปทาน
6. ส.ค.-พ.ย.2533 มีการเอื้อประโยชน์ในการจดทะเบียน จัดตั้งบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด และหลีกเลี่ยงการใช้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 (ปว.281) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
7. เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2533 การลงนามในสัญญาสัมปทานไม่เป็นไปตามมติ ครม.
8.วันที่ 4 ธ.ค.2533 มีการรายงานเท็จต่อ ครม.
และ 9. บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่มีสิทธิได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน”
รัฐมนตรีศักดิ์สยามยืนยันว่า ทั้ง 9 ข้อ เป็นข้อมูลใหม่ที่จะฟ้องต่อศาลให้สัญญาเดิมเป็นโมฆะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเงินแผ่นดิน หรือค่าโง่ จำนวน 2.4 หมื่นล้านบาท โดยกระทรวงคมนาคม จะต่อสู้เรื่องนี้จนถึงที่สุด
3. รัฐมนตรีศักดิ์สยาม ชิดชอบ ยังเปิดเผยด้วยว่า จะมีการส่งเรื่องไปยัง DSI ให้พิจารณาเป็นความผิดตามคดีอาญา เป็นคดีพิเศษต่อไปด้วย
น่าสนใจว่า จะมีพฤติการณ์เข้าข่ายคดีมูลฐานความผิด ถ้าสามารถติดตามยึดอายัดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องตามมาด้วยอีกหรือไม่ อย่างไร
กรณีศึกษาที่ฝ่ายรัฐบาลผนึกกำลังต่อสู้กับค่าโง่มูลค่าหมื่นล้าน เคยมีบทเรียนความสำเร็จมาแล้ว คือ กรณีเพิกถอนค่าโง่โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ซึ่งมีการสู้คดีอย่างเป็นระบบ เอาจริง จนกระทั่งติดตามยึดอายัดทรัพย์ และยื่นศาลปกครองรื้อคดีใหม่สำเร็จในยุครัฐบาล คสช. โดยไม่ต้องใช้กฎหมายพิเศษใดๆ เลย
หากรัฐบาลปัจจุบัน โดยกระทรวงคมนาคม นำทีม แล้วต่อสู้คดีจนสำเร็จได้จริง ก็จะเป็นผลงานชิ้นโบแดง
แต่นั่นจะต้องเอาจริงเอาจัง ทำงานต่อเนื่อง มิใช่เพียงสร้างภาพการเมือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี