“ยุคออนไลน์..อะไรๆ ก็สะดวก” ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้กิจกรรมแทบทุกประเภทสามารถทำได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว จะดูหนังฟังเพลง เล่นเกม สั่งอาหาร จ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงการพูดคุยแสดงความคิดเห็นและระบายอารมณ์ “แต่ในบางแง่มุม..ความไฮเทคก็นำปัญหามาให้” หรือ
เป็นการทำให้ปัญหาเดิมที่ดำรงอยู่ขยายดีกรีความรุนแรงขึ้นเช่น “การกลั่นแกล้ง (Bullying)” ลำพังทำกันในโลกจริงใครที่ถูกรังแกก็เจ็บแล้ว “การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyber Bullying)” ความทุกข์ยิ่งมากกว่าเดิมหลายเท่าทวีคูณ
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิอินเตอร์เนตร่วมพัฒนาไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)จัดเสวนา “เปิดวิถีออนไลน์...เด็กไทยกับภัยใกล้ตัว”โดยมีการเปิดเผยผลวิจัยเชิงคุณภาพประเด็นการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ จากการจัดสนทนากลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 50 คน
พบว่า “การกลั่นแกล้งทางออนไลน์มีหลายรูปแบบ” เช่น การก่อกวน ข่มขู่คุกคาม การให้ร้ายใส่ความ การแกล้งแหย่ การเผยแพร่ความลับ การกีดกันออกจากกลุ่ม การแอบอ้างชื่อ การสร้างบัญชีปลอมการขโมยอัตลักษณ์ และการล่อลวง ส่วนผู้ถูกกลั่นแกล้งรังแกรับมือด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนิ่งเฉยไม่ตอบโต้การตัดความสัมพันธ์ บล็อก ไม่ปรากฏตัว การขอคำปรึกษาจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู และ 4.เก็บหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดี
นอกจากนี้ยังมีการเสวนา “การกลั่นแกล้งออนไลน์ เด็กไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” มีผู้ร่วมเวทีอาทิ สุภาพิชญ์ ไชยดิษฐ์ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เกือบทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ปัญหาคือ “เด็กๆ รู้จักการรังแก..แต่ไม่รู้ว่าพฤติกรรมใดบ้างที่เป็นการรังแก” การกระทำหรือคำพูดที่ปรากฏออกไป บางครั้งอาจกลายเป็นการทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
“บางคนไม่ได้ซีเรียสหากโดนทักว่าอ้วน ผอม ดำไม่สวย แต่บางคนเขาซีเรียส เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขา เขาก็รู้สึกว่าโดนกลั่นแกล้ง หรือแม้แต่การไม่สนใจ เพื่อนไม่เล่นด้วย แม้บางครั้งเพื่อนอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ตัวเขาเองเขารู้สึกว่าโดนละเลย เขาบอกว่าเป็นการกลั่นแกล้งได้ไหม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนถ้ามอง เด็กหลายๆ คนเขาไม่ได้รู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ดีหรือไม่ดี ไม่ได้มีอะไรหรือใครมาเป็นมาตรฐานในการบอกเขาว่าอันนี้ไม่ควรทำ เพราะทุกคนก็ทำ ผู้ใหญ่ เพื่อนๆ ก็ทำ แล้วทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้”สุภาพิชญ์ กล่าว
ในประเด็นความเคยชินว่าใครๆ ก็ทำนี้ บุญยอด สุขถิ่นไทย โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยกตัวอย่าง “การนำภาพบุคคลมาตัดต่อ” ทั้งในเชิงตลกขบขันและดูหมิ่นด่าทอ “บุคคลสาธารณะ อาทิ นักการเมืองหรือดารา ตกเป็นเป้าของพฤติกรรมนี้บ่อยที่สุด” หรือใช้คำหยาบคายเรียกดาราตลกอายุแก่คราวพ่อ จนมีคำถามขึ้นมาว่า “เหตุใดบุคคลสาธารณะไม่มีสิทธิ์ได้รับการปกป้องเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทั่วไป” ใครๆ ก็สามารถใช้ถ้อยคำรุนแรงกับบุคคลสาธารณะอย่างไรก็ได้หรือ
มุมมองนักวิชาการ กรรณิการ์ โต๊ะมีนา หัวหน้าสาขาวิชาเทคโนโลยีการโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร แนะนำว่า หากถูกรังแกให้นิ่งเฉย ไม่ต้องไปตอบโต้ใดๆ “บล็อก (Block) คนคนนั้นจากพื้นที่ออนไลน์ของตนเองไปเลยก็ได้” เพราะปกติแล้วผู้กระทำมุ่งหวังให้ผู้ถูกกระทำมีปฏิกิริยาตอบโต้ แต่หากอีกฝ่ายไม่สนใจ ไม่แสดงอาการ ผู้กระทำก็จะรู้สึกไม่สนุกแล้วก็เลิกไปเอง
อีกด้านหนึ่ง ในส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังกับเด็กและเยาวชน “อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าไปทำกับคนอื่น” แต่ที่สำคัญที่สุด “พ่อแม่ต้องไม่เป็นเพียงพ่อแม่..แต่ต้องเป็นเพื่อนลูกได้ด้วย” การที่พ่อแม่มีเวลาให้ลูก ให้ความเข้าใจจนลูกกล้าเปิดใจพูดคุยได้ทุกเรื่อง วันหนึ่งเมื่อลูกเกิดปัญหาไม่ว่าโลกออนไลน์หรือโลกจริง พ่อแม่ก็จะเป็นบุคคลแรกๆ ที่ลูกเลือกที่จะมาปรึกษา แทนที่จะปล่อยให้ไปปรึกษาเพื่อน แล้วต้องไปเสี่ยงกันว่าเพื่อนๆ ของลูกจะแนะนำลูกของเราอย่างไร
เช่นเดียวกับ พรหมพิริยะ การภูมิ ผู้เคยทำงานด้านสื่อออนไลน์ แล้วก็มีลูกวัยมัธยมต้องดูแลด้วย กล่าวว่าเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาเป็นช่วงวัยที่พบปัญหาการกลั่นแกล้งรังแกได้มากที่สุด เพราะใช้ชีวิตที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน อีกทั้ง “เด็กๆ ก็จะมีการจับกลุ่มและมีการชักชวนให้ทำพฤติกรรมบางอย่าง เช่น พูดคุยกับด้วยคำหยาบคาย โดยใครที่ไม่ทำก็จะถูกล้อเลียนดูหมิ่น” อาทิ บอกว่าเป็นคนโลกสวยบ้าง อ่อนบ้าง ซึ่งคนเป็นพ่อแม่ต้อง “เข้าใจ” ว่าความคิดของตนกับวัยของเด็กๆ นั้นแตกต่าง กับ “เข้าถึง” มีเวลาให้ใช้ร่วมกัน
“ประเด็นที่ลูกพยายามจะบอกเรา เขาไม่เชื่อใจเรา เขาไม่เห็นเราเป็นเพื่อน เขาก็เลยไม่รับเราเป็นเพื่อน(ในโลกออนไลน์) นอกจากไม่เห็นเป็นเพื่อนแล้วยังบล็อกเรา อันนี้เป็นประเด็น ไม่เชื่อใจ กลัวว่าเราจะไปตามส่องตามดู ดังนั้น ประเด็นหนึ่งที่ผมใช้แล้วคิดว่าเกิดประโยชน์ เพราะผมก็เคยโดนบล็อก โดนลบข้อความแต่ต้องทำให้เชื่อใจเรา ถ้าเขาเชื่อใจเราแล้ว ถูก-ผิดค่อยมาแชร์กัน เราในฐานะเป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อเป็นแม่แล้วยังเป็นเพื่อน” พรหมพิริยะ ฝากข้อคิด
อนึ่ง หากมองในแง่กฎหมาย “หลายพฤติกรรมในการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์อาจมีความผิดถึงขั้นติดคุกตะราง” เช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 การปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่นแล้วทำให้เกิดความเสียหาย จะผิดตามมาตรา 14 (1) ว่าด้วยการนำเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการตัดต่อภาพของบุคคลอื่นในลักษณะที่ทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จะผิดตามมาตรา 16มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
ขณะที่การสร้างข่าวปลอมใส่ร้ายบุคคลใดบุคคลหนึ่งแม้จะถูกถอดออกจากความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปแล้ว (จากเดิมที่มีในฉบับ 2550 ซึ่งเวลามีข้อขัดแย้งกันบนโลกออนไลน์ มักมีการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 ฟ้องควบคู่กับความผิดฐานหมิ่นประมาท ทำให้มีปัญหาเพราะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ยอมความไมได้ แต่หมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญายอมความได้) แต่ยังมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
“สนุกบนความทุกข์คนอื่น” ระวังเขาเอาเรื่อง..แล้วจะมาเสียใจทีหลัง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี