หลังศักราชปี 2563 เปิดตัวมาได้เพียงไม่นาน อุณหภูมิทางการเมืองที่ลดลงก่อนหน้านี้ จากการที่ทั่วโลกต่างลดการเคลื่อนไหวลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อหลีกทางให้ประชาชนได้ดื่มด่ำกับเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่ที่ผ่านนั้น ก็ถึงเวลาที่อุณหภูมิจะพุ่งกลับขึ้นสูงและคืนสู่จุดวุ่นวายอีกครั้ง จากสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศ อย่างการเปิดฉากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – อิหร่าน ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะส่งผลกระทบในมิติต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมืองถึงนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรืออย่างสถานการณ์ในประเทศเอง ที่หลายภาคส่วนเริ่มเปิดหน้าสู้ศึกการเมือง ตลอดจนถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะจัดขึ้นในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสนามที่มีความสำคัญและมีผลต่อการเมืองในระดับชาติ อย่างไรก็ดีไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นจะออกมารูปแบบใด ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นแก่ผู้ที่ได้รับชัยชนะไปครองในสนามแรกนี้ สอดรับกับนิมิตหมายทางความเชื่อที่ว่าปีชวด ถือเป็นก้าวแรกของการนับรอบนักษัตรใหม่
เมื่อหันมาพิจารณาดูความพร้อมของกองทัพแต่ละฝ่ายแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าก่อนจะถึงสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างฝ่ายจะรับมือกับปัญหาที่เข้ามาได้ดีมากน้อยเพียงใด? และเมื่อถึงเวลาสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว ฝ่ายใดจะโชกเลือดมากน้อยแค่ไหนกัน? เริ่มต้นที่ซีกฝั่งรัฐบาล พรรคแกนนำอย่างพรรคพลังประชารัฐ ในตอนนี้คงกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดการปัญหาทั้งในและนอกสภาฯ ทั้งประเด็นในเวลาอันใกล้ อย่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวาระที่ 2 และ 3 และประเด็นในระยะกลาง อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่นัดประลองยุทธ์กันในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ระหว่างฝ่ายค้านกับบุคคลที่คาดว่าเป็นเป้าหมายอย่างน้อย 5 คน ตามที่ปรากฏในข่าวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ
ซึ่งประเด็นทั้งสองข้างต้น หลายฝ่ายก็เชื่อว่าคงสร้างได้เพียงรอยแผลแสบๆ คันๆ เท่านั้น ด้วยเสียงจากเขื่อนล้นน้ำ ที่เอาชนะเสียงจากฝ่ายค้านไปได้แบบไม่ต้องกังวล รวมไปถึงหมัดเด็ดของฝ่ายค้านที่จ้องจะเล่นงานเรื่องการซื้อขายที่ดินย่านบางบอน ของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชาพ่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูจะกลายเป็นหมัดเบาลงไปถนัดตาหลังการเสียชีวิตของ พ.อ.ประพัฒน์ ทำให้ยากที่จะเล่นประเด็นทางการเมืองต่อไป แต่หากมีประเด็นน่าสนใจจริงๆ และทางฝ่ายค้านสามารถเปิดแผลรัฐบาลได้ ด้วยประเด็นที่มีน้ำหนักมากพอ ก็น่าห่วงว่าอาจถูกยกมาเล่นเป็นเกมนอกสภาฯ ตามที่กลุ่มต่างๆ ตั้งท่ารอหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม เกมในสภาฯ ที่เป็นจุดแข็งของรัฐบาลไปแล้ว เมื่อพิจารณาที่มาก็จำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้งานด้วยหรือไม่? หลังการปิดจุดอ่อนเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลด้วยการเติมเสียงจาก สส. พรรคอนาคตใหม่ 4 คนที่ถูกขับออกจากพรรค ซึ่งเมื่อผนวกกับ 2 เสียงจากการเลือกตั้งซ่อมที่ฝ่ายรัฐบาลกวาดชัยได้ทั้งพื้นที่นครปฐมและขอนแก่น หากดูเผินๆ ก็เท่ากับเป็นการปิดจุดอ่อนของฝ่ายรัฐบาลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเสียงฝ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นถึง 6 เสียง แต่อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าการเข้ามาร่วมฝ่ายรัฐบาลของ 4 สส. นั้น 3 ใน 4 เป็นการเข้าร่วมโดยสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังท้องถิ่นไทที่ได้ไป 2 สส. และภูมิใจไทยที่ได้ไป 1 สส. ดังนั้นแล้วจากตัวเลขที่เปลี่ยนไป ย่อมทำให้สมการทางการเมืองแบบเดิมๆ ใช้กับเหล่าพรรคร่วมไม่ได้อีก ฉะนั้นแล้วต้องตามดูกันต่อไปว่านายทัพประยุทธ์จะวางหมากอย่างไรต่อไป เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง จากอำนาจต่อรองที่เปลี่ยนไปแล้ว ใช่หรือไม่?
เมื่อหันมามองซีกฝ่ายค้าน สำรวจไปที่ความเคลื่อนไหวภายในซีกฝ่ายค้าน โดยอ้างอิงการขยับตัวของพรรคเพื่อไทย ที่ดำรงสถานะผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งเมื่อพิจารณาดูพรรคเพื่อไทยแล้ว หลายฝ่ายต่างกังวลและให้ความเห็นตรงกันว่าอยู่ในภาวะ แพแตก ใช่หรือไม่? เพราะฉับพลันที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม ขึ้นแท่นนั่งโต๊ะประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ (กพศ.) ของพรรคเพื่อไทย ก็เกิดกระแสข่าวมาตลอดช่วงที่ผ่านมาว่า คุณหญิงสุดารัตน์ อาจลาออกพ้นจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่หากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงต่อจากนี้ หลายฝ่ายก็เชื่อว่าต้นตอสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ภารกิจของ กพศ. มีบางส่วนทับซ้อนกับภาระงานเดิมของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และการดำเนินงานของ กพศ. นั้นจะมีความเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นตรงกับคุณหญิงสุดารัตน์ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย? ซึ่งจะนับเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง คล้ายกับการบีบให้ใครออกจากพรรคหรือไม่? ซึ่งภายหลังการจัดงานเลี้ยงปีใหม่แก่ สส. และทีมงานที่บ้านของคุณหญิงสุดารัตน์วานนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวดังกล่าว ทั้งจากถ้อยคำให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ และการไม่มาร่วมงานของนายสมพงษ์ หัวหน้าพรรค รวมถึงแกนนำพรรคคนอื่นๆ ใช่หรือไม่?
ในช่วงจังหวะเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้านกำลังระส่ำจากความเปลี่ยนแปลงภายในอยู่นั้น พรรคอนาคตใหม่ในฐานะเบอร์สองของฝ่ายค้านเอง ก็กำลังถูกมองว่าเล่นเกมการเมืองนอกสภาฯ ด้วยการจัดงานวิ่งภายใต้ชื่อ “วิ่งไล่ลุง” ในวันอาทิตย์ที่ 12 ม.ค. ซึ่งงานดังกล่าวบรรดานักวิเคราะห์เองก็ให้ความสนใจ ด้วยมองว่าเป็นงานแรกที่จะวัดกระแสมวลชนว่าจะสามารถจุดติดได้ ตามที่นายธนาธร พยายามปลุกปั่นมาตลอดช่วงที่ผ่านมาหรือไม่? ซึ่งหากจุดติดแล้วจริง แล้วสามารถลากยาวพร้อมยกระดับไปต่อได้ถึงช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่น ก็น่าจับตาว่าในสนามการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ต่างฝ่ายต่างคาดการณ์ว่าสูสี และเข้มข้นในขณะนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองใดเป็นพิเศษจนพลิกหน้าการเมืองอีกครั้งด้วยหรือไม่? แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีการจัดงาน “วิ่งเชียร์ลุง”ที่จัดในวันเดียวกัน ที่อาจเป็นตัวเปรียบเทียบ หรืออย่างน้อยเป็นสิ่งสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลต่อไป ยังผลถึงกระแสต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งคงไม่ง่ายอย่างที่พรรคอนาคตใหม่คิด และด้วยความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งในการทำงานในระดับชาติต่อไป
ดังนั้นแล้วหากแต่ละขั้วการเมืองวางกลยุทธ์ใดพลาดไป จนพ่ายแพ้ในศึกนี้ ย่อมส่งผลกระทบแก่ฝ่ายตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการรวมพลังกันภายในขั้วของตัวเอง เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในพื้นที่ดังกล่าวมากที่สุด ซึ่งหากมองในวินาทีนี้ฝ่ายรัฐบาลย่อมได้เปรียบมากกว่าและคงจะคว้าชัยได้ไม่ยาก? จากความเป็นปึกแผ่นกันของขั้วรัฐบาลใช่หรือไม่?
“...ได้เปรียบค่อยทำศึก เสียเปรียบก็อยู่นิ่ง สุดท้ายจึงจะได้มีชัย...”
ซุนฮก จากเรื่อง สามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี