แม้จะผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ กับวันหยุดยาวช่วงส่งท้ายปีเก่า 2562-ต้อนรับปีใหม่ 2563 (27 ธ.ค. 2562-2 ม.ค. 2563) แต่ในปีนี้กับมาตรการรับมือ “7 วันอันตราย” อุบัติเหตุบนท้องถนน ดูจะทำให้บรรดาหน่วยงานที่รับผิดชอบ “ยิ้มออก (บ้าง)” จากผู้เสียชีวิตซึ่งอยู่ที่ 373 ศพ ลดลงต่ำกว่า 400 ศพ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี นับจากปี 2560 ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 478 ศพปี 2561 จำนวน 423 ศพ และปี 2562 จำนวน 463 ศพ
3 ม.ค. 2563 นิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวสรุปผลการดำเนินการของ “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563” ว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการดื่มแล้วขับ และขับรถเร็ว จึงได้กำชับให้จังหวัดถอดบทเรียนและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในเชิงลึกอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
รวมทั้งค้นหาปัญหาอุปสรรคและปัจจัยความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ พร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง คือ ดื่มแล้วขับขับรถเร็ว และไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลในโอกาสต่อไป
อนึ่ง ในปีนี้มีมาตรการใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ “การขยายผลไปถึงร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี” เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยโดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการแถลงข่าวของศูนย์ฯ เมื่อ 28 ธ.ค. 2562 ระบุว่า ได้กำชับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เน้นการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์และคุมเข้มการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี และตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์กรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรงทุกราย
ที่งานแถลงข่าว “วันเด็กปีนี้ขอของขวัญจากรัฐบาลลดการเจ็บตายบนท้องถนน” ณ ศูนย์การประชุม The Hall Bangkok ซ.วิภาวดี 64 ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ ช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2563 ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดย พญ.ศศิธร ตั้งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หากดูสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทย ซึ่งข้อมูลจากรายงานองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2561 ระบุว่าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน สูงเป็นอันดับ 9ของโลก ก็ถือว่ามากแล้ว
แต่หากเจาะกลุ่มไปที่เด็กและเยาวชน เช่นช่วงอายุ 15-19 ปี ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด พบว่า มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 48 คนต่อประชากร ในช่วงวัยเดียวกัน1 แสนคน ทั้งนี้เมื่อดูสาเหตุของอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก และมีข้อค้นพบจากปีล่าสุด “พบผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ร้อยละ 31.2” ทั้งที่อายุต่ำกว่า 20 ไม่ควรเข้าถึงเครื่องดื่มประเภทนี้ได้
“จริงๆ เราไม่อยากให้เด็กดื่มแล้วขับ เพราะจริงๆมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เด็กต่ำกว่า 18 ถ้าเราเอาแอลกอฮอล์ให้เขาดื่ม เราจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.นี้เพราะเด็กไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ต่ำกว่า 18 มี พ.ร.บ.คุ้มครองอยู่ ในปีใหม่ที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ทุกๆ หน่วยในศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ก็ได้ร่วมกันขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ทุกปีก็เอาจริงเอาจัง แต่ปีนี้มีการประชาสัมพันธ์และเน้นย้ำในการขยายผลกรณีเจอเด็กที่ดื่มแล้วขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ
ทางโรงพยาบาลก็ประสานกับทางตำรวจเนื่องจากเป็นข้อกฎหมาย เด็กไม่ควรดื่มและต่ำกว่า 20 ไม่ควรซื้อแอลกอฮอล์มารับประทานเองได้ ตรงนี้ก็จะได้รับการขยายผลไปพอสมควร มีคดีที่อยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ร้านค้าที่กระทำผิด พ.ร.บ. เขาก็ถูกดำเนินคดีเพราะเขาไม่ควรขายให้เด็กแล้วเด็กไปเกิดอุบัติเหตุ แล้วมีผู้ใหญ่ที่เอาแอลกอฮอล์ให้เด็กดื่ม อาจจะไม่ทราบก็ได้ คือเด็ก 16-17 คิดว่าดื่มในบ้าน แต่เด็กไปขับมอเตอร์ไซค์แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ” พญ.ศศิธร กล่าว
ผอ.กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ยังกล่าวอีกว่า “การลดความสูญเสียบนท้องถนนของเด็กและเยาวชนจากการดื่มแล้วขับต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” เช่น พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้หลักผู้ใหญ่ นอกจากตนเองจะไม่ดื่มแล้วขับแล้ว ยังต้องไม่ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่ตนเองดูแลรับผิดชอบอยู่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพราะเด็กและเยาวชนนั้นเป็นวัยอยากรู้อยากลอง ร้านค้าก็ต้องไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุไม่ถึงตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนภาครัฐก็จะขับเคลื่อนให้มีแผนงานป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนของเด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล พ.ศ. 2551 มาตรา 29 (1) ประกอบมาตรา 40 ระบุว่าห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แกบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไมเกิน 1 ปี หรือปรับไมเกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 26 (10) และมาตรา 78 ระบุว่า เด็กหมายถึงผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ห้ามจำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราหรือบุหรี่แกเด็ก เว้นแต่การปฏิบัติทางการแพทย์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไมเกิน 3 เดือน หรือปรับไมเกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และต้องย้ำว่า..กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ใช้คำว่า “ผู้ใด” โดยไม่มีบทละเว้นแม้จะเป็นบุพการี ดังนั้นต้องฝากเตือนไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย ไม่ว่าท่านจะขาย กำลังดื่มเองอยู่แล้วส่งให้บุตรหลานดื่ม หรือแม้แต่ไปซื้อให้บุตรหลานดื่ม ทั้งหมดนี้ท่านกำลังทำผิดกฎหมายและอาจถูกดำเนินคดีได้ โดยเฉพาะเมื่อบุตรหลานของท่านขับขี่ยานพาหนะไปเกิดอุบัติเหตุแล้วมีการสอบสวนขยายผล!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี