สัปดาห์นี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกรณี “คลิป (เสียง) หลุด” ที่สะเทือนไปถึงบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมถึงกรณีพรรคภูมิใจไทยที่ถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งส่งสัญญาณ “รอยร้าว” มาก่อนเกิดเหตุคลิปเสียงหลุดแล้ว เมื่อแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย ต้องการยึดกระทรวงมหาดไทย แต่พรรคภูมิใจไทยนั้นไม่เอาด้วย
ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่า หากเดินทางนี้แล้วรัฐบาลจะอยู่รอดไปจนครบเทอม ได้เลือกตั้งในปี 2570 ตามวาระหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า พรรคภูมิใจไทยได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มากเป็นอันดับ 3 การที่ สส. กลุ่มนี้ โยกจากฝ่ายรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้าน ก็ทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีสถานะ “เสียงปริ่มน้ำ” ต้องคอยลุ้นทุกครั้งในการลงมติร่างกฎหมายสำคัญต่างๆ
อย่างไรก็ตาม “ที่นี่แนวหน้า” ขอหยิบประเด็น “ภาระที่หนักเกินกำลังของคนเป็นครู” มานำเสนอ ซึ่งหากไม่นับการเมืองร้อนๆ ข้างต้น เรื่องนี้ก็เป็นกระแสสังคมอยู่ไม่น้อย เมื่อ “ครูมัท” ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษและเป็นครูการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง ซึ่งตามข่าวที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 ครูมัทมีปัญหาความเครียดจากแรงกดดันที่ต้องทำงานการเงิน บัญชีและพัสดุ ทำให้เป็นอีกครั้งที่เรื่องของภาระงานอื่นๆ กระทบต่อหน้าที่หลักของครูอย่างการสอนหนังสือ กลับมาได้รับความสนใจในสังคมไทย
มีท่านผู้อ่านที่ใช้ชื่อว่า ชัยวัฒน์ (ขอสงวนนามสกุล) บอกว่าตนเองเป็นอดีตข้าราชการครู ก่อนจะออกมาเป็นสื่อมวลชนในท้องถิ่น ส่งบทความ “อย่าให้เป็นเงาที่ไม่มีตัวตนในโรงเรียน” มาบอกเล่า “ปัญหาเชิงระบบ” ที่ทำให้คนเป็นครูรู้สึกท้อใจ โดยบทความบรรยายว่า “ก่อนการปฏิรูปการศึกษาเมื่อปี 2542 มีการบรรจุครูงานเงิน ครูพัสดุ ในส่วนของของกรมสามัญเดิม” โดยบรรจุในอัตรา ครู1 เทียบเท่าเจ้าหน้าที่การเงินและพัสดุ1 ของ กพ. (อัตรา 1-2) และในส่วนของสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ (สปอ.เดิม) และสำนักงานการประถมศึกษาจังหวั (สปจ.เดิม)
ทำหน้าที่ตรงตามตำแหน่ง แต่ในความเป็นจริงก็มีการจัดให้สอนบ้างในบางวิชาที่ตรงตามความวุฒิการศึกษาที่เรียนมา เช่น วิชาบัญชี วิชาสายอาชีพ และหลังจากมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ ก็ยังมีการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครูสายงานการสอน 30(ค) ส่วนใหญ่มาจาก ข้าราชการพลเรือนใน สปช.เดิม แต่กำหนดกรอบอัตรากำลังไว้เฉพาะสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ไม่ได้กล่าวถึงสถานศึกษา
หากจะเพิ่มตำแหน่ง ครูการเงินและพัสดุในโรงเรียนจริง อยากขอให้นำบทเรียนจาก ครูธุรการ ที่มีการกระทำอย่างเร่งรีบและใช้การเลี่ยงบาลี เพื่อจะได้ไม่ต้องแก้ไขกรอบตำแหน่ง เป็นงานกระแส แก้ไขเพื่อเอาหน้าตาม กระแสสังคมที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน หรือจะปฏิรูปใหม่ก็ไม่เสียหาย “ลึกๆ แล้ว ครูไม่ได้กลัวงานเยอะ เพราะงานฝากของโรงเรียนมีมาจากทุกกระทรวงก็ว่าได้” เช่น โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนสีขาว การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การแข่งขันและการสอบ การเดินรณรงค์ต่างๆ
การประเมินจากภายนอก (สมศ.) โรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนแม่เหล็ก “ครูกลัวและเครียด ผลจากงานการเงินและพัสดุ” เช่น กรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายชัยยศ สุขต้อ ครูชำนาญการพิเศษ เพียงแค่ทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็กยากจนชั้นมัธยม เผยสาเหตุถูกไล่ออกเพราะ งบประมาณมีให้แค่เด็กอนุบาล-ประถม ไม่รวมเด็กมัธยม จึงกลายเป็นกระทำความผิด ฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในส่วนของ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) กำหนดให้ดำเนินการในโรงเรียนนำร่องที่มีความพร้อม แต่บางเขตเล่นใหญ่อยากโชว์นายให้นำร่อง 100% มีครูบางคนได้รับผลกระทบจากการทำงานที่ยาวนานก่อให้เกิดความเครียด เส้นเลือดในสองแตกก่อนกำหนดส่งงาน 1 วัน แม้จะโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่เส้นทางชีวิตราชการก็ต้องจบลงกลายเป็นบุคคลกึ่งพิการ ยังพอมีโชคเหลืออายุราชการมากหน่อยพอได้รับบำนาญเพื่อยังชีพ
คุณชัยวัฒน์ ยังเขียนย้ำมาอีกครั้งว่า “อย่ารอให้มี ‘ครูมัท’ อีกคน จาก 29,999 โรงเรียนที่เหลือ” โดยระบุว่า ก่อนการปฏิรูปการศึกษาในปี 2542 เราเคยมีตำแหน่ง “ครูการเงิน-พัสดุ” อย่างเป็นทางการ อัตราครู 1 เทียบเท่ากับเจ้าหน้าที่การเงินและพัสดุ 1 ของ ก.พ. แต่เมื่อโครงสร้างเปลี่ยนไป ตำแหน่งเหล่านี้กลับหายไป เหลือเพียงครูสายสอนที่ถูก “ฝากงาน” จากทุกภาคส่วนของรัฐมาให้รับผิดชอบ เช่น โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ โรงเรียนสีขาว ITA สมศ. โรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนแม่เหล็ก โครงการนับไม่ถ้วน และหน้าที่ไม่รู้จบ...
“ครูไม่ได้กลัวงานเยอะ แต่กลัวผลลัพธ์ของงานที่ไม่ใช่หน้าที่” อย่างกรณีของนายชัยยศ นอกจากนั้น เราควรเรียนรู้จากอดีต อย่าซ้ำรอย “ครูธุรการ” ที่ผลักดันอย่างเร่งรีบตามกระแสสังคมโดยไม่เตรียมความพร้อม ไม่แก้โครงสร้าง ไม่เติมกรอบอัตรากำลัง “ถ้าจะมีครูการเงิน-พัสดุ กลับมาใหม่จริง ก็ต้องทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่แก้หน้า” ต้องเป็นตำแหน่งที่มีคุณค่า ไม่ใช่ภาระซ่อนในภาระ
ขณะนี้การเมืองยังคง “ฝุ่นตลบ” เมื่อโควตารัฐมนตรีที่พรรคภูมิใจไทยเคยถืออยู่นั้นว่างลง ซึ่งรวมถึงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ดังนั้นก็ต้องหวังว่า “เสมา 1” ท่านต่อไป จะเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง “คืนครูให้นักเรียน” เพราะการที่ครูมีเวลาและแรงกาย – แรงใจให้งานสอนได้อย่างเต็มที่ ย่อมหมายถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้นของเด็กและเยาวชนไทยด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี