เป็นสถานการณ์ร้อนแรงตลอดตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมากับข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา นำมาซึ่งมาตรการตอบโต้กันไป – มาในเชิงเศรษฐกิจและการเดินทาง แต่ที่ต้องจับตามองคือการที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ศาลโลก” พิจารณาเกี่ยวกับปราสาท 3 หลัง และพื้นที่ช่องบก แม้ไทยจะย้ำจุดยืนไม่รับอำนาจศาลโลก โดยให้ใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่เป็นกลไกทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ตาม
เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2568 ศูนย์เอเชียแปซิฟิกศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “พรมแดนไทย-กัมพูชา : อดีต ปัจจุบัน อนาคต” และมีการให้มุมมองด้านกลไกระหว่างประเทศ โดย ดร.พิชชา ใจสมคม อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มศว กล่าวว่า ในทางระหว่างประเทศจะแบ่งข้อพิพาทเป็น 2 ประเภท คือ 1.ข้อพิพาททางการเมือง ความขัดแย้งจะเข้าไปสู่กลไกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งประชาชาติ (UNSC) แต่จะต้องเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก
เช่น กรณีรัสเซีย – ยูเครน โดยกฎบัตรสหประชาชาติมีช่องทางให้ UNSC เรียกคู่พิพาทไปเจรจาได้ กับ 2.ข้อพิพาททางกฎหมาย จะไปที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อปี 2489 มีหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างรัฐหรือประเทศตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ศาลโลกจะพิจารณากรณีนี้ได้ก็ต่อเมื่อประเทศคู่พิพาทต้องยอมรับอำนาจศาลโลกด้วย นอกจากนั้น ศาลโลกยังมีอำนาจวินิจฉัยเพื่อให้ความเห็นในประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศใน 3 กรณี คือ
2.1 ตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือตามที่ UNSC ร้องขอ 2.2 ตามที่องค์กรอื่นภายใต้สหประชาชาติ องค์กรชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติร้องขอ และ 2.3 หากปรากฏว่ามีอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาคู่กรณีที่ภาคีมาลงนามกันไว้แล้วระบุให้ศาลโลกมีอำนาจพิจารณาข้อพิพาท แต่ย้ำว่าคู่กรณีต้องแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลโลกด้วย โดยทำได้ทั้งการทำคำประกาศไว้ล่วงหน้า หรือทำคำแถลงภายหลังจากมีคดีเข้าไปที่ศาลโลกแล้วก็ได้
“ที่ผ่านมาประเทศไทยเราไม่เคยยอมรับอำนาจของศาลโลกเลย แล้วถ้าไปดูในภูมิภาคอาเซียนเอง เราจะเห็นว่ามีเพียงแค่ 2 ประเทศในอาเซียนที่ยอมรับอำนาจของศาลโลก นั่นก็คือกัมพูชากับฟิลิปปินส์ นอกนั้นประเทศในอาเซียนก็ไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลโลก ทีนี้ที่บอกว่าประเทศไทยเราไม่เคยยอมรับอำนาจของศาลโลก แต่เราก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนที่จะปฏิเสธอำนาจของศาลโลก ซึ่งอันนี้มันก็จะมีข้อควรระวัง
เพราะถ้าเราไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนอย่างเช่นการปฏิเสธอำนาจของศาลโลก ก็อาจจะต้องทำโดยการแถลงโดยผู้ที่มีอำนาจ ก็คือโดยนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แล้วควรจะต้องมีหนังสือแจ้งไปที่ศาลโลกด้วยว่าเราปฏิเสธการรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำ เราไม่ได้มีจุดยืนที่ชัดเจน อันนี้อาจถือว่าเรายอมรับอำนาจของศาลโลกโดยปริยายได้ อันนี้ก็จะเป็นข้อเสียเปรียบ” ดร.พิชชา กล่าว
คำถามต่อมา “กัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกฝ่ายเดียวได้หรือไม่?” ประเด็นนี้ ดร.พิชชา กล่าวว่า สามารถทำได้ แต่ ศาลจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และแม้ศาลจะรับคำร้องไว้พิจารณาแต่ก็ไม่มีผลผูกพันกับประเทศไทยอยู่ดีเพราะประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ถึงกระนั้นก็ต้องระมัดระวังเรื่องการแสดงจุดยืนให้ชัดเจนตามที่กล่าวไปข้างต้น เพื่อไม่ให้เข้าข่ายหลักกฎหมายปิดปาก
อีกคำถามหนึ่ง “ถ้าไม่ไปศาลโลกแล้วมีวิธีอื่นในการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศอีกหรือไม่?” ซึ่งก็ต้องหันไปมองช่องทางอื่นๆ เช่น การเจรจาทางการทูต การหาคนกลางให้เข้ามาช่วยเจรจา โดยหนึ่งในช่องทางที่น่าสนใจคือการใช้ “กฎบัตรอาเซียน” ซึ่งก็จะมีคำถามอีกว่าการให้คนกลางมาเจรจาดีหรือไม่? และอาเซียนเองมีหลักว่าจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของชาติสมาชิก แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเมื่อเกิดข้อขัดแย้งขึ้นก็จะส่งผลกระทบไปทั้งภูมิภาค
ดังนั้น “หลักการแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Intervention)” ซึ่งพูดถึงการที่เมื่อมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ผลลัพธ์เชิงบวก ก็อาจต้องมีการทบทวน และในกฎบัตรอาเซียนก็มีช่องทางให้เอื้อต่อการเจรจา อนึ่ง ด้วยความที่ข้อพิพาทไทยระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นเรื่องที่มีมานานและคงไม่จบลงในเร็วๆ นี้ สิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ ประเทศไทยไม่มีแผนรับมือว่าหากยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในอนาคตจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร
“สิ่งที่ประเทศไทยควรจะต้องทำ เราควรมีเรื่องของการคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า อย่างตอนนี้กัมพูชาเขายื่นเรื่องฟ้องฝ่ายเดียวไปแล้ว ต่อไปเราต้องคิดแล้วว่าเราจะตั้งรับอย่างไรต่อไป หรือถ้าเราจะต้องใช้กลไกอาเซียน เราก็จะต้องมียุทธศาสตร์ ฉะนั้นเราอาจจะต้องมีการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปมันจะมีอย่างไร เพื่อให้เห็นชัด เราจะได้มากำหนดในเรื่องของยุทธศาสตร์ แล้วจะได้มีแผนกลยุทธ์ต่อไป” ดร.พิชชา ระบุ
นักวิชาการท่านนี้ ทิ้งท้ายว่า จริงๆ แล้วเรื่องของการค้าชายแดน การพัฒนาพื้นที่ชายแดน ถือเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่ใช้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ เพราะหากเศรษฐกิจตามแนวชายแดนดีผู้คนก็คงจะไม่มีความขัดแย้งกัน แต่โดยสรุปแล้วต้องมีการพูดถึงนโยบายและคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะต้องไปในทิศทางใด จะใช้ช่องทางใดได้บ้างในการระงับข้อพิพาท หรือหากต้องใช้กลไกอาเซียน ก็ต้องคิดต่อว่า “ไทยมีพวกในอาเซียนแล้วหรือยัง?” เพราะจะเห็นว่ากัมพูชาพยายามสื่อสารกับโลกภายนอกและประเทศในอาเซียน
ซึ่งหากไทยจะหาพันธมิตรในอาเซียน ก็ต้องคิดว่าจะมีมาตรการทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนอย่างไรหรือไม่ รวมถึงสื่อสารให้ประเทศอื่นๆ รับรู้ว่าไทยมีท่าทีอย่างไร รวมถึงการสื่อสารกับประชาชนภายในประเทศด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี