รัฐธรรมนูญ 2560 ที่บังคับในปัจจุบัน แม้จะเพิ่งใช้บังคับได้ไม่นาน ก็ปรากฏปัญหาทั้งในหลักการและในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะวิธีการเลือกตั้งการคำนวณจำนวน สส. ตลอดจนวิธีการได้มาซึ้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ไม่สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของ สว.
ความสัมพันธ์ของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และองค์กรอิสระ ดูจะมีปัญหาในความเป็นอิสระ ถ่วงดุลอำนาจ แม้แต่กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็อาจต้องแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมกับอำนาจหน้าที่
ในโอกาสที่สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงขอเสนอแนวทางและประเด็นที่ต้องแก้ไขบางส่วน ดังนี้
1. ควรกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีจุดมุ่งหมายเพื่อ “ลดบทบาทอำนาจรัฐ แต่เพิ่มอำนาจประชาชน” มิใช่เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเพื่อเสริมสร้างอำนาจให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการที่จะมีอำนาจขึ้นมาปกครองประเทศ
ทั้งนี้เพราะความเป็นประชาธิปไตยวัดกันด้วยดีกรีของการมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ กำหนดการได้มาซึ่งผู้บริหารประเทศ สามารถตรวจสอบถอดถอนผู้มีอำนาจ รวมทั้งการกระจายอำนาจการบริหาร ทรัพยากร และการตัดสินใจดำเนินการให้กับท้องถิ่นในระดับย่อยที่เป็นตัวแทนใกล้ชิดประชาชน
2. วิธีการได้จองสมาชิกวุฒิสภาในปัจจุบันที่กำหนดอยู่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ เป็นจุดเลวร้ายที่สุด ที่เป็นการ “ลดอำนาจประชาชน แค่ไปเพิ่มอำนาจผู้มีอำนาจรัฐเดิม” แม้จะอ้างว่าใช้บังคับชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ก็สะท้อนอำนาจนิยมเพื่อการสืบทอด เพราะที่มาของ สว. 250 คน มาจากการแต่งตั้งของ คสช.เพื่อให้มาเลือกหัวหน้า คสช.เป็นนายกฯ ต่อไป
กฎกติกาในการเลือกนายกฯ ก็ระบุล็อกไว้จนล่วงรู้มองเห็นตัวคนที่จะมาบริหารประเทศ
ในความเป็นจริง หากจะกำหนดให้วุฒิสมาชิกเป็นสภาที่ใช้ประนอมอำนาจจากภาคส่วนต่างๆ ก็จะต้องมีระดับที่เหมาะสม หากมีที่มาจากการแต่งตั้งมากก็ต้องมีอำนาจน้อยเพียงกลั่นกรองกฎหมาย แต่หากวุฒิสภามาจากประชาชนที่มีส่วนในการการเลือกสรรมาก ก็ควรมีอำนาจเพิ่มขึ้น
3. วิธีการคัดสรรสมาชิกวุฒิสภาหลังยุติการใช้บทเฉพาะกาล 5 ปี แม้จะมีภาพของการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น
แต่การที่ให้ผู้สมัครที่ประสงค์จะเป็น สว.ในแต่ละอำเภอ จังหวัด เลือกกันเอง ก็ดูจะเป็นวิธีการให้สิทธิโอกาสแก่ผู้สมัครและผู้ที่ขนคนมาสมัครในการเลือกสรร สว. แต่มิใช่สิทธิของประชาชนทั่วไปอย่างทัดเทียม
หากจะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ โดยให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งระบุกำหนดอาชีพของตนในการจดทะเบียนกับ กกต. ว่าตนมีอาชีพในกลุ่มอาชีพใด ซึ่งอาจจะกำหนดกลุ่มอาชีพเพียง 10 กลุ่มอาชีพ
แล้วให้รับสมัครผู้ต้องการเป็น สว.เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพ แล้วจึงให้ประชาชนในกลุ่มอาชีพนั้นๆ เป็นผู้เลือกให้ได้ สว.ที่เป็นตัวแทนของแต่ละกลุ่มอาชีพจำนวนมากน้อยตามสัดส่วนของประชากรที่ลงทะเบียนในกลุ่มอาชีพนั้น ซึ่งพอคาดเดาได้ว่า สว.ที่ได้จะเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับประเทศของแต่ละกลุ่มอาชีพ (ทั้งนี้เพราะเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศ)
การได้มาซึ่ง สว.ในวิธีการนี้จะมีที่มาจากประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งน่าจะมีบทบาท อำนาจหน้าที่ มากกว่าการแต่งตั้งหรือเลือกกันเองในบรรดาผู้สมัคร
วุฒิสภาเช่นนี้ จึงสามารถมีอำนาจในการรับรองหรือเลือกสรรองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบแทนประชาชน และอาจมีอำนาจในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
วุฒิสภาที่มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยแบ่งเขตพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตเล็กหรือเขตจังหวัด เหมือนที่เคยมีตามรัฐธรรมนูญ 2540 มีจุดอ่อนที่สำคัญ คือ เป็นการเลือกตัวแทนจากพื้นที่ ไม่ต่างจากการเลือก สส. และในที่สุดก็จะได้คนประเภทเดียวกับ สส. จึงเป็นวิธีการเลือกตั้งที่ไม่เกิดประโยชน์ มี 2 สภา ก็ไม่ต่างจากมีสภาเดียว
4. องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น กกต. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชน ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ
จะต้องออกแบบกระบวนการสรรหาที่เป็นอิสระจากฝ่ายบริหารมากขึ้น เพราะจะต้องเป็นองค์กรที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร และควรจะยึดโยงกับประชาชน ผ่านการเลือกสรรรับรองจากวุฒิสภาที่มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
จะต้องมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพราะในปัจจุบันระบบตรวจสอบมีปัญหา การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ระหว่างองค์กรอิสระและรัฐสภา เช่น หาก ป.ป.ช.ทุจริตเสียเอง เมื่อสส. /สว. เข้าชื่อ เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิจารณา จะต้องผ่านความเห็นชอบของประธานรัฐสภา ประธานรัฐสภากับ ป.ป.ช.จึงอาจเกาหลังซึ่งกันและกันได้
5. การเลือกตั้งในระบบจัดสรรปันส่วนผสม ด้วยบัตรเลือกตั้งใบเดียว ดังที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย เป็นระบบที่ล้มเหลวเพราะไปดัดแปลงระบบที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพของเยอรมัน แล้วคิดไม่รอบคอบเพียงพอ คือ
(1) กำหนดจำนวน สส.ทั้งสภาตายตัว ที่ต้องมีจำนวน 500 คน จึงต้องมีการเกลี่ยคะแนนสัดส่วนใน
ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งใหม่
(2) การยุบพรรค แล้วนำ สส.ไปอยู่พรรคอื่น ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า พรรคสังกัดใหม่มีสมาชิกมากขึ้นได้อย่างไร เมื่อคะแนนเลือกจากประชาชนของพรรคมีจำนวนเท่าเดิม
(3) การที่ สส.ถูกขับออกจากพรรคหนึ่ง จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่น จำนวน สส.ของแต่ละพรรคจะไม่เป็นไปตามสัดส่วนของคะแนนที่ประชาชนเลือก การจะโอนคะแนนจากพรรคที่สังกัดเดิมไปยังพรรคใหม่ก็ไม่น่าจะทำได้ เพราะประชาชนไม่ได้เลือกพรรคที่รับโอน
(4) การปัดเศษคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคต่างๆ แล้วได้ สส.แล้ว แต่ยังมีเศษคะแนน ทำให้ต้องกลับมาเกลี่ยจำนวน สส.ในแต่ละพรรคใหม่ก็ให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ปัญหาทั้งหมดนี้ มาจากการกำหนดจำนวน สส.ในสภาต้องมีจำนวนคงที่ 500 คน
ในความเป็นจริง หากใช้ระบบนี้ แต่ให้จำนวน สส.ทั้งสภาสามารถยืดหยุ่นไปตามลักษณะคะแนนนิยม ซึ่งบางครั้งอาจมี สส.ทั้งสภาจำนวน 503 คน หรือมี สส. 498 คน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
6. การเลือกตั้ง สส.ในระบบจัดสรรปันส่วนผสม หากจะให้ประชาชนสามารถลงคะแนนได้ 2 ใบ คือเลือกตัว สส. 1 ใบ และเลือกพรรค 1 ใบ โดยที่คะแนนเลือกพรรคจะกำหนดจำนวนสัดส่วนของ สส.ในสภา และให้ใบที่เลือก สส.เป็นการกำหนดตัวคนที่ได้เป็น สส.ของแต่ละพรรค หาก สส.เขตได้ไม่ครบจำนวนที่พรรคควรจะได้จำนวน สส.ตามที่กำหนดในใบที่ 2 (ที่เลือกพรรค) ก็ให้นำ สส.บัญชีผู้สมัครตามรายชื่อมาเติมให้ครบ
แต่หากพรรคใดได้ สส.เขตจากการเลือกใบแรกครบ หรือเกินจำนวนสัดส่วนที่คำนวณได้ (จากใบที่เลือกพรรค) ก็ให้ได้ สส.ครบตามที่ได้จากการเลือก สส.เขต
7. รัฐธรรมนูญที่แก้ไข ต้องกำหนดให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่ให้ท้องถิ่นสามารถทำหน้าที่แต่ที่ส่วนกลางกำหนด แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเป็นให้ท้องถิ่นทำหน้าที่ได้ทุกเรื่อง เว้นแต่อะไรที่ทำไม่ได้ ซึ่งน่าจะมีไม่มาก เช่น ทิ้งถิ่นไม่สามารถพิมพ์ธนบัตรของตนเอง ไม่สามารถมีกองกำลังทหารของตัวเอง หรือไม่สามารถมีศาลของตัวเอง เป็นต้น ส่วนที่เหลือท้องถิ่นย่อมรู้ปัญหาของท้องถิ่นตนดีกว่า
การกระจายอำนาจอย่างแท้จริงให้ท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล อบจ. และลดบทบาทของส่วนกลางลง จะทำให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนได้อย่างไม่สับสน เขาเลือกผู้แทนท้องถิ่นไปบริหารท้องถิ่น และเลือก สส. หรือ สว.ไปทำงานออกกฎหมาย ควบคุมรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาลส่วนกลาง
ทุกวันนี้ประชาชนสับสน เพราะต้องการเลือกคนดูแลบริหารท้องถิ่น แต่ไปเลือกและคาดหวังให้สส. สว.ทำงานให้ในระดับท้องถิ่น ดูแลทุกข์สุขระดับท้องถิ่น
8. ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ เป็นการกำหนดจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นชนชั้นบน และผู้ยึดอำนาจการปกครอง อาจไม่สะท้อนความจริงที่ควรเป็น
การกำหนดทิศทางประเทศในเรื่องสำคัญเช่นนี้ สถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การบังคับให้ทำตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปอาจหลงทิศหลงทางได้
9. ต้องแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ตามสมควร ไม่ใช่ล็อคไว้หลายชั้น เช่น ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาอย่างน้อย 1 ใน 3 หรือต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายค้าน 1 ใน 5
หากไม่แก้รัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาด บกพร่อง ของรัฐธรรมนูญ 2560 ข้างต้นทั้ง 6 ประการ จะยังคงเป็นข้อบกพร่องอมตะนิรันดร์กาลต่อไปนานเท่านาน
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี