ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่พูดจากันนั้นจะเป็นยุทธศาสตร์อะไรบ้าง ยังเป็นเรื่องที่คนไทยทั่วทั้งประเทศไม่ทราบและไม่เข้าใจ และถึงวันนี้ก็ไม่เคยมีผู้ใดสรุปยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวให้ประชาชนชาวไทยได้ทราบเลย
และในความเป็นจริงนั้น ประเทศไทยก็ไม่ใช่ว่าเป็นประเทศที่ขาดไร้เสียซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ เฉพาะในยุครัตนโกสินทร์นี้ก็เคยมียุทธศาสตร์ชาติมาแล้วสามยุทธศาสตร์ในสามห้วงเวลา
ยุทธศาสตร์แรก เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่องค์พระปฐมบรมราชจักรีวงศ์ทรงประกาศไว้
ยุทธศาสตร์ที่สอง เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้พัฒนาประเทศตลอดยุคสมัยของพระองค์ท่าน
ยุทธศาสตร์ที่สาม เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประกาศและทรงใช้ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน และกองทัพไทยได้สรุปหลักยุทธศาสตร์นั้น ประกาศให้ประชาชนชาวไทยได้รับทราบทั่วกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อประมาณ พ.ศ. 2529
ยุทธศาสตร์ชาติครั้งแรกได้มีการประพันธ์เป็นบทกวีว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะปกป้องขอบขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
ซึ่งชัดเจนว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งนำพระธรรมให้แผ่ในน้ำใจอาณาประชาราษฎร์เพื่อเป็นรากฐานแห่งความร่มเย็นเป็นสุขในยุคสมัยแห่งสงคราม และการทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ให้ประชาชนมีความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นผลสำเร็จอย่างยิ่งให้ประจักษ์มาแล้ว
ยุทธศาสตร์ชาติครั้งที่สองมีการสรุปว่าเป็นหลักยุทธศาสตร์สองแนวทาง ในการปฏิรูปและในการพัฒนาประเทศไทย คือ
ประการแรก คือการสร้างชาติให้เป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม เพราะทรงเห็นชัดแล้วว่าสยามไม่สามารถดำรงอยู่ในการทำเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมหรือเกษตรกรรมธรรมชาติได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถเป็นประเทศอุตสาหกรรมเหมือนชาวยุโรปได้ ความเป็นไปได้ของสยามคือพัฒนาเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม หรือแปรรูปภาคเกษตรเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเท่านั้น
ประการที่สอง คือการสร้างชาติให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการ หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ดังนั้นการพัฒนาประเทศตลอดยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงดำเนินไปอย่างแข็งขันและทำให้สยามเจริญก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ มีเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุด จนเงินบาทมีค่าเท่ากับ 2 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
ยุทธศาสตร์ชาติครั้งที่สามคือยุทธศาสตร์ “ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” ดังที่กองทัพไทยได้สรุปและประกาศเป็นทางการที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เป็นการสรุปพระราชดำริ พระบรมราโชบายและพระบรมราโชวาททั้งหลายทั้งปวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ถึง 2529 เป็นคำประกาศที่กึกก้องและภายใต้ยุทธศาสตร์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นก็พระราชทานยุทธวิธีให้แก่กองทัพไทย “ให้ทำสงครามกับความยากจน”
ยุทธวิธีดังกล่าวต่อมาทั้งประเทศจีนและประเทศรัสเซียและอีกหลายประเทศได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติจนปรากฏผลสำเร็จที่ชัดเจน โดยเฉพาะประเทศจีนในยุคสมัยของประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน ประธานาธิบดีหู จิ่น เทา และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในสมัยประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง
ในขณะที่นานาประเทศได้อัญเชิญยุทธศาสตร์พระราชทานและยุทธวิธีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปปฏิบัตินั้น ประเทศไทยของเรากลับละเลยหรือดีแต่พูด แต่ไม่มีสิ่งใดในการกระทำที่เป็นมรรคผลเลย
ผลจากการดำเนินยุทธศาสตร์ชาติตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต่อเนื่องมาถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทำให้การพัฒนาประเทศเกิดธุรกิจสามประเภทขึ้น และถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจของคนไทยด้วย นั่นคือ
การประกอบการภาคเกษตรและประมง อุตสาหกรรมอาหารไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งสามประการนี้คือรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยทั่วประเทศ ในขณะที่กลุ่มทุนใหญ่และทุนต่างชาติมุ่งเน้นอยู่ที่ภาคการเงิน อุตสาหกรรม และการส่งออก
ประเทศญี่ปุ่นกำลังเสื่อมทรุดในทุกด้าน รากฐานเศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นอยู่ที่อุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้า ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นต่อเนื่องมา 60 ปีแล้ว แต่กำลังเสื่อมทรุดลงอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่สามารถปรับตัวและไม่สามารถต่อสู้กับธุรกิจประเภทเดียวกันที่ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีนกำลังรุกขยายและครอบครองโลกในปัจจุบันนี้
ทำให้อุตสาหกรรมทั้งสามประเภทนี้ของญี่ปุ่นต้องล่วงลับดับสูญไปโดยลำดับ ดังนั้นญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องแสวงหาทิศทางธุรกิจใหม่ และในที่สุดก็ได้พบว่าเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งสามประการนั้นคืออนาคตและความอยู่รอดของญี่ปุ่น ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นปรับตัวสร้างและพัฒนาเส้นเลือดใหญ่ทั้งสามเส้นของประเทศไทยไปเป็นของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นได้ทุ่มเทพัฒนาภาคเกษตรจนก้าวหน้าภาคเกษตรของประเทศไทยจนไม่เห็นฝุ่น การทุ่มเทการวิจัยและการพัฒนาภาคเกษตรและประมงขยายตัวไปอย่างกว้างขวางรวดเร็วและยิ่งใหญ่ จนสามารถผลิตอาหารและรวบรวมแหล่งอาหารจากทั่วโลกได้สำเร็จ จนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของและส่งออกปัจจัยและวัตถุดิบด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก และกำลังเป็นเจ้าโลกทางอาหาร
ญี่ปุ่นได้ปรับตัวเป็นประเทศอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเต็มรูปแบบและกลายเป็นรายได้หลักที่สำคัญที่บำรุงเลี้ยงชาวญี่ปุ่นกว่า 300 ล้านคน บนเกาะญี่ปุ่น และยังส่งออกประชากรญี่ปุ่นไปตั้งรกรากวางเครือข่ายการท่องเที่ยวทั่วโลกด้วย
ยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยตกอยู่ท้ายแถวที่ไหนก็ต้องคิดดูกันเอาเอง แม้กระทั่งระบบวีซ่าญี่ปุ่นก็ได้ยกเลิกระบบวีซ่า เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นกันอย่างเอิกเกริก ทั่วโลกพากันขนเงินไปจับจ่ายใช้สอยในญี่ปุ่นรวมทั้งคนไทยด้วย
ญี่ปุ่นได้พัฒนาและยึดครองอาหารและผลักดันให้อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารแถวหน้าของโลก
ในอดีตนั้นยอดอาหารของโลกมี 5 ลำดับ คืออาหารอิตาเลียน อาหารฝรั่งเศส อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น และอาหารไทย สำหรับอาหารทั้ง 5 ประเภทนี้ ประเทศที่เป็นเจ้าของอาหารล้วนส่งเสริมสนับสนุนด้วยกองทุนมโหฬาร และมีสถาบันอาหารที่ก้าวหน้าทันสมัยเป็นหลักประกันคุณภาพด้านอาหาร
คงมีแต่อาหารไทยที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุนแต่กลับเป็นที่นิยมลำดับ 5 ของโลก ก็ด้วยน้ำมือของคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศรวมทั้งภรรยาชาวต่างชาติที่ไปตั้งรกฐานในต่างประเทศและบรรดาโรบินฮู้ดทั้งหลาย จนทำให้อาหารไทยเลื่องชื่อลือชาในต่างประเทศแต่ในที่สุดเวียดนามก็เข้ามาแย่งยึดร้านอาหารไทยในต่างประเทศไปเกือบหมดสิ้น
บัดนี้ร้านอาหารญี่ปุ่นกำลังรุกคืบเข้ายึดกิจการร้านอาหารไทยอย่างทั่วด้าน ประเทศไทยกำลังถูกแปลงให้เป็นประเทศที่ต้องบริโภคอาหารญี่ปุ่น
แล้วเราจะมานั่งท่อง นั่งพล่าม หรือเร่งสร้างความขัดแย้ง ความแตกสามัคคีในชาติกันไปเพื่ออะไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี