ทุกครั้งที่ได้ใช้บริการแท็กซี่ ผมก็มักจะหาประเด็นพูดคุยกับโชเฟอร์เกี่ยวกับประเด็นปัญหาของอาชีพ และปัญหาในการดำรงชีวิต แง่หนึ่งก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อีกแง่หนึ่งก็ประสงค์ใฝ่หาข้อมูลเกี่ยวกับความพอเพียงในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี เพื่อนำไปประกอบใช้ในการร่วมคิดร่วมทำเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
คนขับแท็กซี่ทุกคนที่ได้รับปุจฉานั้น ต่างก็มีความคิดเห็น และมีข้อเสนอแนะที่น่าฟังสมเหตุสมผล เพราะต่างก็มีความประสงค์ที่จะมีชีวิตที่มั่นคงทั้งสิ้น
ผมได้รับทราบว่า การเช่ารถขับรับจ้าง 1 ผลัดต่อวัน มีต้นทุนประมาณ 500-700 บาท ในขณะที่การเช่าซื้อจะตกอยู่ประมาณ 500-900 บาทต่อวันขึ้นอยู่กับรถใหม่รถเก่า บวกกับค่าเชื้อเพลิงอีกประมาณวันละ 350 บาท นอกจากนั้น ก็ยังมีค่ากินอยู่อีกประมาณ 200 บาทต่อวัน รวมแล้ว งบลงทุนประจำวันก็ตกประมาณไม่เกิน 1,200 บาท
ฉะนั้น จะต้องพยายามหารายได้ให้ได้อย่างต่ำวันละ 1,500-1,700 บาท เพื่อที่จะได้เงินเหลือสัก 300-500 บาทต่อวัน คิดว่าทำงาน 30 วัน ก็เป็นเงินรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าอยู่คนเดียวอย่างพอเพียง ก็พอจะสามารถจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล (30 บาทบัตรทอง) ค่าอาหาร และเหลือจับจ่ายใช้สอยอื่นได้บ้าง
แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ครอบครัวคนขับแท็กซี่นั้นยังมีภรรยา และลูกอีก 1-2 คน ทำให้เงินรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน ไม่เพียงพอที่จะสู้กับรายจ่าย อย่างน้อยจะต้องมีรายได้สัก 22,000-25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสามีผู้ขับแท็กซี่ก็คงจะหาได้ไม่ถึง ตัวภรรยาจึงต้องช่วยทำงานหาเงินเข้าบ้านด้วยอีกทางหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน หากภรรยาต้องเลี้ยงลูกเล็ก ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการไปทำงานนอกบ้าน นอกจากจะยอมเสียเงินจ้างคนเลี้ยงลูก (ค่าใช้จ่ายสูง และยังไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้แค่ไหน) หรือไม่ก็ต้องนำลูกไปฝากไว้ให้ปู่-ย่า ตา-ยาย (ซึ่งมักอยู่ต่างจังหวัด) เลี้ยงให้ ซึ่งการแยกกันอยู่กับพ่อแม่นั้นอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็กเล็ก
แล้วจะทำอย่างไรกันดี ในเมื่อประชาชนพลเมืองกลุ่มหนึ่งไม่สามารถช่วยตัวเองได้ทางเศรษฐกิจ อย่างในกรณีคนขับแท็กซี่มีรายรับไม่ถึง 25,000 บาท แต่ก็ต้องเลี้ยงครอบครัว 4 ชีวิต
ใน 5-10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในทวีปยุโรปต่างก็มีความคิดและมีการทดลองปฏิบัติเรื่องนโยบายมาตรการเงินเดือนขั้นต่ำทั่วหน้า (Universal Basic Income-UBI) ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ เช่น จ่ายเงินเดือนให้พลเมืองทุกคนไม่ว่าจะจนหรือรวย จ่ายสมทบให้ หรือจ่ายให้เต็มเมื่อตกงาน หรือจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน และเสริมทักษะและองค์ความรู้ เป็นต้น
สำหรับกรณีของไทย จากที่ได้สอบถามพูดคุยกับคนหนุ่มสาว และโดยเฉพาะกับกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ก็เห็นว่าหากจะพอมีชีวิตอยู่ได้ตามอัตภาพแล้ว รายได้ขั้นต่ำต่อเดือนน่าจะมีรูปร่างดังนี้
1.ชายเดี่ยว หญิงเดี่ยว ควรมีรายได้ขั้นต่ำประมาณ 12,000-15,000 บาทต่อเดือน
2.สามี-ภรรยา เพิ่งแต่งงาน ควรมีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน
3.ครอบครัว พ่อ-แม่-ลูก (ลูกหนึ่ง หรือสองคน) ควรมีรายได้ประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน
หากทั้ง 3 กรณี ไม่สามารถหารายรับได้ตามเป้าดังกล่าว จะไปเอาเงินที่ยังขาดอยู่ได้จากที่ไหน (อาทิ
คนโสด มีเงินเดือนแค่ 9,000 บาท ก็ไม่พอใช้ จะต้องไปหาอีก 3,000 บาท หรือครอบครัว 4 คน หาได้แค่ 20,000 บาท ก็ขาดอีก 5,000 บาท) ส่วนที่ขาดไปนี้ ผมเองอยากเสนอให้นำหลัก UBI หรือหลักเติมให้เต็ม (Fill up) มาใช้ กล่าวคือ ฝ่ายรัฐนำงบประมาณมาใช้สมทบ หรือเติมให้เต็มตามเป้าตามสถานะของพลเมืองดังกล่าว
เสนอแบบนี้ ก็ย่อมจะมีคำถามตามมาว่า แล้วรัฐโดยรัฐบาลจะมีเงินหรือหาเงินทำได้หรือ?
คำตอบของผมก็คือ รัฐบาลนั้นมีงบประมาณประจำอยู่แล้วและเพียงพอ ฉะนั้นก็จะทำการได้แน่นอน เพราะทุกวันนี้ รัฐบาลประยุทธ์ ได้นำเงินงบประมาณส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกับนโยบายมาตรการประชานิยมทั้งหลาย บวกกับนโยบายประกันราคาพืชผล หรือประกันรายได้จากพืชผล บวกการอุ้มอุตสาหกรรมบริการ และอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ในเครือข่ายผู้มีอำนาจรัฐ ยังไม่นับกับที่สูญเสียไปกับการทุจริตคอร์รัปชั่น และโครงการยักษ์ใหญ่ที่ผลตอบแทนไม่แน่ชัดหากปรับวิสัยทัศน์ เปลี่ยนวิธีการใช้งบประมาณมาสนับสนุนความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง อย่างมาตรการเงินเดือนขั้นต่ำทั่วหน้าดังกล่าว ผมก็แน่ใจว่ายังจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
นอกจากนั้น รายได้รัฐจากการขายสลากกินแบ่ง การให้สัมปทานทรัพยากรทางธรรมชาติ การเปิดประมูลคลื่นความถี่ จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ (Sin Tax) ก็ยังสามารถนำมาสมทบเป็นเงินเติมให้เต็มได้อีก
แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ภาครัฐก็ต้องมีสถิติให้แน่ชัด ตรวจสอบได้ และเข้าถึงโดยประชาชนพลเมืองอย่างทั่วถึง โดยต้องมีความโปร่งใส สามารถระบุได้ว่า ประชาชนคนใดเป็น ผู้ทำงาน มีสถานะโสด หรือมีครอบครัว มีหรือไม่มีบุตร และจะสามารถประมาณการได้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า รัฐจะต้องใช้เงินสนับสนุนเท่าใด ซึ่งเมื่อมีสถิติข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็อยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ ซึ่งขณะนี้ประเทศก็มีตัวเลขคร่าวๆ ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่มยากจน (below poverty line) มีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน หรือกลุ่มคนที่มีรายได้ระหว่าง 4,500-5,000 บาทต่อเดือน กับ 6,000-7,000 บาทต่อคนต่อเดือน
หากคนกลุ่มผู้ร่วมชาติเหล่านี้มีรายได้รวมที่เพียงพอจะเลี้ยงชีพได้ ปัญหาต่างๆ ที่คอยรบกวนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนก็จะเบาบางลงไป ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบ หรือความกังวลเรื่องการชักหน้าไม่ถึงหลัง ปัญหาเหล่านี้บั่นทอนสุขภาพจิตของพลเมือง และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนประเทศ รวมทั้งขัดขวางการพัฒนาคุณภาพประชากรอีกด้วย
และในการแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของคนไทยและลดความเหลื่อมล้ำให้สำเร็จได้ นอกจากจะหวังพึ่งภาครัฐให้มีการดำเนินการที่โปร่งใสแล้ว ก็ยังต้องพึ่งพาความซื่อสัตย์สุจริตของประชาชนชาวไทยอีกด้วย ว่าจะต้องไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เช่น แจ้งรายรับต่ำกว่าความเป็นจริง หรือสวมสิทธิ์ผู้อื่น ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงของการนำประเทศไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วนั้น จะต้องอาศัยประชาชนที่มีสำนึกต่อความเป็นพลเมือง รู้ว่าอะไรเป็นสิทธิ์ของตนพร้อมกับรู้ว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่ตนต้องปฏิบัติเพื่อประเทศชาติด้วย เช่น การร่วมกันเสียภาษี เป็นต้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gma
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี