ความน่าเชื่อถือขององค์การอนามัยโลก หรือ WHOที่มีสำนักงานใหญ่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ที่กำลังถูกตั้งคำถามจากเหตุการณ์สำคัญเรื่องไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 หลังจากที่ออกมายอมรับว่าประเมินความเสี่ยงของไวรัสโคโรนาผิดพลาดไปมากโดยก่อนหน้านี้ WHO ได้ระบุรายงานสถานการณ์ที่เผยแพร่เมื่อช่วง วันที่ 23-25 มกราคม 2563 ที่ประเมินความเสี่ยงระดับโลกของไวรัสนี้อยู่ที่ระดับปานกลาง แต่หลังจากนั้นก็ต้องออกมาแก้ไขระดับความเสี่ยงทั่วโลกเป็น “สูง”
องค์การอนามัยโลกที่ก่อตั้งมากว่า 70 ปีนั้นมีบทบาทสำคัญในงานด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเป็นทบวงชำนาญพิเศษขององค์การสหประชาชาติ ปัจจุบันมี นายเทรดอส อาดานอม
เกเบรเยซุส ชาวเอธิโอเปีย เป็นเลขาธิการอำนวยการซึ่งรัฐบาลหน่วยงานและประชาชนทั่วโลกต่างให้การยอมรับและเชื่อถือในคำแนะนำและความคิดเห็นตลอดจนแนวทางการกำหนดนโยบายสาธารณสุขของประเทศต่างๆ มาโดยตลอด
ดังนั้น แถลงการณ์หรือจุดยืนต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO จึงมีความสำคัญและใช้เป็นแนวทางในการอ้างอิงต่างๆ ในเรื่องสุขภาพเสมอมาด้วยผู้คนต่างเชื่อมั่นในความชำนาญการพิเศษ องค์ความรู้และประสบการณ์ขององค์การอนามัยโลก การประเมินที่ผิดพลาดดังกล่าวจึงส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลกก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเอกสาร ถาม-ตอบ เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในบ้านเราและอีกหลายประเทศ เนื่องจากเอกสารนี้
ถูกวิจารณ์จากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบ เนื่องจากข้อมูลที่ระบุในเอกสารนั้นไม่ถูกต้องหลายประการ
หลังจากเผยแพร่เอกสารฉบับแรก เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกจึงมีการแก้ไขเอกสารถาม-ตอบใหม่ในวันที่ 29 มกราคม 2563 โดยเป็นการแก้ไขแบบเงียบๆ ไม่ได้มีการประกาศแจ้งให้ทราบหรือส่งให้กับสื่อมวลชนเหมือนในครั้งแรกซึ่งอาจทำให้มีการนำข้อมูลเก่าไปอ้างอิงอย่างไม่ถูกต้อง
คำวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่มาจากนักวิชาการชาวอังกฤษและชาวอเมริกันเช่น นายปีเตอร์ ฮาแย็ค หัวหน้าหน่วยวิจัยการติดยาสูบของมหาวิทยาลัยควีนส์ แมรี่ในมหานครลอนดอน สหราชอาณาจักร ที่ได้เปิดเผยว่าเอกสารนี้เป็นอันตรายมากเนื่องจากเนื้อหาข้อความส่วนใหญ่ไม่ถูกต้องและเรียกร้องให้ผู้จัดทำรับผิดชอบต่อการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดซึ่งจะทำให้ผู้สูบบุหรี่ไม่เปลี่ยนไปหาผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นอันตรายน้อยกว่าได้
ปัญหาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้านั้นยังคงต้องถกเถียงกันต่อไปในสังคมไทยว่าคนไทยที่เป็นผู้สูบบุหรี่ 11 ล้านคน จากประชากร 66 ล้านคนเท่ากับร้อยละ 16.66 ของประชากรทั้งประเทศควรมีสิทธิ์เข้าถึงทางเลือกเหล่านี้ได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นชัดตอนนี้คือการจับกุมกลุ่มผู้ใช้การรีดไถนักท่องเที่ยวที่นำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในประเทศไทย การสูญเสียรายได้จากภาษี การที่เด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ได้อย่างง่ายดาย และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองกลับใช้สินค้าเหล่านี้ได้โดยไม่ถูกจับกุม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยของเราเลย
ปัญหาการห้ามบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นแหล่งข่าวจากกลุ่มประชาชนชาวไทยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเผยเหตุผลว่ากลุ่มเอ็นจีโอที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งในกระทรวงและนอกกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อมูลแก่นักการเมืองไปในทางที่ผิดๆ พร้อมทั้งได้สร้างภาพลบของบุหรี่ไฟฟ้าไปในทางที่ผิด เช่น อ้างว่าคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าทำให้มีอันตรายถึงเสียชีวิต ทั้งๆ ที่คนที่เสียชีวิตนั้นเขานำเอาอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้าไปใช้เสพยาเสพติดชนิดอื่นๆ ต่างหาก เขาก็เลยเสียชีวิตเพราะเสพยาแต่เขาไม่ได้เสียชีวิตเพราะสูบบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นการบอกข้อมูลที่ไม่หมดหรือว่าครบถ้วน
ทั้งสองกรณีข้างต้นกระทบความน่าเชื่อถือขององค์การอนามัยโลก หรือ WHOทั้งสิ้น ดังนั้น จึงเป็นบทเรียนสำคัญของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและหน่วยงานราชการของไทยทุกๆ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง, กระทรวงต่างประเทศ, กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ ที่จะต้องใช้ข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมรอบด้านมาใช้ในการประเมินปัจจัยและกำหนดนโยบายที่สำคัญของประเทศไทยไม่เช่นนั้นรัฐบาลหรือแม้แต่หน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็อาจกลายเป็น “เด็กเล่นขายของ” เข้าจนได้ในวันหนึ่ง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี