คนโกงธรณีสงฆ์อัลไพน์(บางคน) ติดคุกไปแล้ว
คดีถึงที่สุดแล้ว
แต่จะทำอย่างไรให้ได้ที่ดิน “ธรณีสงฆ์” กลับคืนมาตามเจตนารมณ์ของคุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา
นี่คือหน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบันโดยตรง
จะสนองศรัทธาคุณยายเนื่อมมิให้สูญเปล่า ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เห็นผลกรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” หรือจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไปอีกลอต? รัฐบาลลุงตู่ นิ่งเฉย หรือชักช้าไม่ได้
แนวทางหลังจากนี้ มีหนทางดำเนินการอย่างไร จะต้องเยียวยาใครจะต้องใช้ไม้แข็งให้ใครรับภาระผลกรรมบ้าง
ขออนุญาตนำเสนอมุมมองความเห็นของนักกฎหมาย “ดร.รุจิระ บุนนาค” แห่ง “สำนักกฎหมาย มารุต บุนนาค อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ” ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานทนายความที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์แนวหน้าเมื่อหลายปีแล้ว แต่บัดนี้ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว จึงน่าสนใจที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องพึงพิจารณา
บางส่วนบางตอน ระบุ ดังนี้
“...เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ยายเนื่อม” ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่จำนวน 924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้ “วัดธรรมิการามวรวิหาร” เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงสืบต่อไป
แต่วัดธรรมิการามวรวิหารตั้งอยู่ที่เขากระจก อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นคนละที่กับที่ดินที่ตั้งอยู่ตามพินัยกรรม
ในอีก 2 ปีต่อมา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 ยายเนื่อมได้เสียชีวิต และได้โอนที่ดินให้แก่วัดตามเจตนารมณ์เพื่อเป็นที่ดินธรณีสงฆ์
ต่อมา ปัญหาได้เกิดขึ้นเมื่อที่ดินผืนดังกล่าว มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดกของยายเนื่อม แทนผู้จัดการมรดกเดิมซึ่งมีจำนวน 3 คน (ผู้จัดการมรดกเดิมไม่ยอมขายที่ดินให้กับบุคคลอื่น)ได้โอนที่ดินให้แก่มูลนิธิฯก่อนโอนขายให้กับ บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์ สปอร์ต คลับ จำกัด
ทั้งๆ ที่ พินัยกรรมยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ระบุชัดเจนว่า ยกที่ดินทั้งสองแปลงเนื้อที่ 924 ไร่ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ไม่ได้ยกให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย
โดยซื้อขายกันในวันที่ 31 สิงหาคม 2533 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 142 ล้านบาท
และในวันเดียวกันนั้น บริษัททั้งสองนำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองที่ดินกับธนาคารเป็นเงินจำนวน 220 ล้านบาท
ต่อมา อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อๆ มา เนื่องจากเห็นว่าเป็นการโอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้มีส่วนได้เสียจำนวน 290 ราย อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อกรมที่ดิน แต่กรมที่ดินยืนยันคำสั่งเดิม และเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย
สำหรับเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น พิจารณาเห็นควรให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จึงทำให้กลายเป็นว่าการโอนที่ดินของยายเนื่อมนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยคนดังกล่าวถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา (แต่จำเลยยังสามารถอุทธรณ์คดีได้) ปิดฉากมหากาพย์ที่ดินอัลไพน์อันยาวนาน 40 กว่าปี
โดยศาลให้เหตุผลว่า เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ทั้งยังทำลายศรัทธาของผู้ที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ซึ่งได้แก่ นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา
(ล่าสุด คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 2 ปี และศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกา-สารส้ม)
พื้นที่ปัจจุบันของที่ดินอัลไพน์ ส่วนหนึ่งเป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรร และจากผลของคำพิพากษาดังกล่าวของศาล ทำให้คนที่อาศัยอยู่ต้องเดือดร้อน เพราะเท่ากับต้องคืนที่ดินให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ ทั้งๆ ที่ ตัวเองซื้อมาโดยสุจริต ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่กลับต้องมาคืนที่ดินให้กับรัฐเพราะความไม่สุจริตของข้าราชการประจำที่ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ไม่คำนึงถึงความประสงค์ของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมที่ตั้งใจสละที่ดินมรดกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
มาตรการเยียวยาหลังจากนี้ ทางรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนผู้เสียหายอย่างไร
เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เท่ากับที่ดินทั้งหมดต้องกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามเดิม แต่ในขณะนี้ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน
หรือภาครัฐจะผลักภาระให้กับผู้ซื้อต้องไปฟ้องเรียกค่าเสียหายกับผู้ขายเอาเอง
ขณะคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัลไพน์กลับต้องนอนขวัญผวาทุกคืนเพราะสักวันต้องคืนบ้านของตัวเองให้เป็นของหลวง และความเสียหายที่เกิดขึ้นใครจะเป็นผู้เยียวยา
นอกจากนี้ ยังมีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินอัลไพน์ในอดีตเป็นถึงรัฐมนตรี เคยขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ในคราวนั้นรอดพ้นความผิด เพราะคดีขาดอายุความทั้งที่มีอายุความถึง 20 ปี โดยศาลยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โดยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว การยกที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และผู้ใดจะอ้างการครอบครองหรืออ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อต่อสู้กับแผ่นดินนั้นไม่ได้
กล่าวคือ ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน นั้นแม้จะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หรือในกรณีที่มีบุคคลใดเสียชีวิตโดยไม่มีทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม หรือการตั้งมูลนิธิตามพินัยกรรม มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่แผ่นดิน
การยกที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ก็เช่นกัน ที่ดินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์หรือตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ทันที นับแต่เวลาที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นได้แสดงเจตนายกที่ดินหรืออุทิศที่ดินให้แก่วัด
ส่วนกรณีที่ดินอัลไพน์ของยายเนื่อม เมื่อเจตนายกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์โดยพินัยกรรมย่อมมีผลทันทีหลังจากที่ยายเนื่อมตาย แม้จะโอนต่อไปกี่ทอดก็ตามบุคคลที่รับโอนนั้นไม่ได้กรรมสิทธิ์ ตามหลักที่ว่า “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน”
สมัยก่อน คนส่วนหนึ่งหากไม่มีลูกหลาน เมื่อตัวเองตายมักจะยกทรัพย์สินที่ดินให้กับวัด เพราะเชื่อว่าจะได้บุญกุศล และจะไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับที่ดินของวัด เพราะกลัวบาป
ต่างกับสมัยนี้ ผู้คนไม่เกรงกลัวบาป กล้านำที่ดินที่มีผู้อุทิศให้กับวัดมาทำเป็นสนามกอล์ฟ หมู่บ้านจัดสรร ฯลฯ หรือโอนขายกันเป็นกระบวนการรวมถึงข้าราชการประจำที่รู้เห็นเป็นใจกับนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม ที่ดินอัลไพน์ของยายเนื่อม เมื่อถึงบทสรุปสุดท้ายย่อมเข้าสุภาษิตที่ว่า ของหลวงย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ยิ่งยุคนี้ประชาชนคงได้เห็นบรรดานักการเมือง ข้าราชการ คนใหญ่คนโต ที่พัวพันกับคดีทุจริตเดินขึ้นศาลและเข้าคุกมากกว่ายุคสมัยไหน และคดีที่ดินอัลไพน์คงเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่คิดจะโกงที่ดินวัด และคนที่ซื้อที่ดินต่อๆ มาได้เช่นกัน…”
บัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว
รัฐบาลลุงตู่ ทำหน้าที่ ทำบุญกุศลแก่พระพุทธศาสนาเถิด
จะนิ่งเฉย หรือชักช้าไม่ได้ มิฉะนั้น จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง เผลอๆ จะพ่วงตนรกไปกับขบวนการใจบาปไปด้วย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี