นายกฯ ไร้ฝีมือ ทุเรียนไทยเจอขวากหนาม
ปีนี้ ทุเรียนไทยลูกผีลูกคน
ทั้งๆ ที่ เป็นสินค้าเกษตรที่มีอนาคตดีเด่น สุดยอด ลำดับต้นๆ
อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ถึงขนาดหยิบมาชูขายฝัน ประกาศตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เป็น 1 ล้านล้านบาท !!!มาถึงยุครัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ นอกจากนายกฯไปตัดทุเรียนโชว์ แล้วจนป่านนี้ ทุเรียนไทยก็ยังเจอขวากหนามสารพัดเรื่อง
1. เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2568 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากเกษตรกรชาวสวนผลไม้และผู้ประกอบการรับซื้อผลไม้ในพื้นที่ภาคตะวันออก
ตัวแทนเกษตรกรชาวสวน จ.จันทบุรี เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขตามความต้องการของเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนของผลไม้ไทย พร้อมทั้งเสนอให้บังคับใช้กฎหมายควบคุมการจำหน่ายทุเรียนอ่อนอย่างจริงจัง แนวทางแก้ไขปัญหาราคามังคุดตกต่ำ การกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาผู้ประกอบการกลุ่มเดิมทั้งชาวไทยและชาวจีนให้ยังอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด
นายกฯ ระบุว่า เบื้องต้นพบปัญหาผลผลิตล้นตลาด รัฐบาลได้เร่งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนให้เข้ามารับซื้อผลผลิต เพื่อช่วยพยุงราคาและป้องกันสินค้าเน่าเสียแล้ว อีกทั้งจะเร่งพัฒนาการวิจัย (R&D) ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้น เพื่อวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต นอกจากนี้ จะเร่งแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการผ่านด่านส่งออก มาตรการควบคุมคุณภาพ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร
2. คล้อยหลังนายกฯลงพื้นที่ไม่กี่วัน ราคาทุเรียนลดวูบ !!!
ราคาทุเรียนเกรด AB หน้าโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ราคาปรับลงแรงเหลือร้อยบาท (จากเดิม 130 บาท)
ลดลงต่ำที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เข้าจังหวะที่ทุเรียนแก่ จะต้องตัดกันพอดี
ล้งบางแห่งอ้างว่า เถ้าแก่จีนสั่งงดซื้อ เพราะเจอทุเรียนอ่อน ทุเรียนด้อยคุณภาพ
3. เมื่อเร็วๆนี้ จีนผ่อนคลายการตรวจสารปนเปื้อนแคดเมียมและสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 สำหรับทุเรียนไทยแล้ว
ลดจำนวนการตรวจ และเพิ่มเจ้าหน้าที่อำนายความสะดวก เพิ่มขึ้นทะเบียนแล็บตรวจในไทย
แต่ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ทางการไทยได้จับกุมทุเรียนเวียดนามขนส่งทางเรือเข้ามายังประเทศไทย แม้จะมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการขออนุญาตถูกต้องในการนำเข้าเนื้อทุเรียนแกะมาทางท่าเรือแหลมฉบัง แจ้งว่าจะนำเข้าโรงงานแช่แข็งที่ จ.ระยอง แต่มาฝากแช่ไว้ที่โกดังไม้ยางพารา อ.แกลง จ.ระยอง ที่เจ้าของเป็นคนจีนก่อน แต่ไม่มีเอกสารแสดงการเคลื่อนย้ายมาสำแดง
ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จีนได้ตรวจพบสารปนเปื้อนแคดเมียมและสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 ของทุเรียนเวียดนาม และเมื่อต้นปี 2568 จีนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบทุเรียนไทยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ปัจจุบันจีนยังพบการปนเปื้อนของสารแคดเมียม และ BY2 ในทุเรียนของเวียดนามจำนวนมาก เพราะสวนทุเรียนเวียดนามมีใบรับรอง GAP เพียง 30% ของทุเรียนที่ผลิตได้ ส่งผลให้ทุเรียนในเวียดนามล้นตลาด และราคาตกต่ำมาก โดยหมอนทอง 65-75 บาท/กก. ในขณะที่ทุเรียนไทยได้รับการผ่อนปรนการสุ่มตรวจแล้ว แต่ราคาทุเรียนไทยที่กำลังดิ่งลงเหลือ กก.ละ 90-95 บาท มาจากปัญหาการตัด “ทุเรียนอ่อน”
“กลุ่มจีนเทาจะนำเงินประมาณ 90% มาฟอกในธุรกิจทุเรียน เพราะได้ผลตอบแทนสูงหลายเท่า หากสามารถนำทุเรียนเวียดนามมาสวมสิทธิทุเรียนไทยจะได้กำไรสูง แต่จะมีผลกระทบกับทุเรียนไทยในวงกว้าง ถ้าทุเรียนที่ส่งออกด้อยคุณภาพ นอกจากราคาลดลงแล้ว อาจจะเสี่ยงต่อการถูกตัดสิทธิการส่งออก 3 ปีเป็นอย่างต่ำ” –แหล่งข่าวกล่าวกับประชาชาติธุรกิจ
4. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกรมวิชาการเกษตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านมาตรฐานสินค้า เข้าตรวจสอบสถานที่ประกอบการในการนำเข้าทุเรียนแช่แข็งจากต่างประเทศในกรณีที่เป็นข่าว
ในเบื้องต้น พบว่า การนำเข้าดังกล่าวเป็นไปตามกฎระเบียบอย่างถูกต้อง โดยการนำเข้านั้นต้องมีใบ PC ประกอบการนำเข้ารวมถึงมีการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจจากสำนักงานอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลของการตรวจสอบพบว่า ไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
แต่อย่างไรก็ตาม สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ จะดำเนินการตรวจสอบเอกสารในรายละเอียดและสุ่มเก็บตัวอย่างตรวจสอบซ้ำ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย ซึ่งบริษัทดังกล่าวนำเข้าทุเรียนแช่แข็งจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการแปรรูปเป็นแบบฟรีซดรายในการส่งออกไปอีกห้าประเทศ ทั้งนี้ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติอยู่ในระหว่างการดำเนินการทบทวนมาตรฐานบังคับที่จะใช้ในการยกระดับสินค้าเกษตรของไทยให้เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มีการทบทวนมาตรฐานบังคับดังกล่าว เพื่อใช้ในการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้าทุเรียนแช่เยือกแข็ง
รมว.เกษตรฯ ย้ำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด โดยยึดกฎหมายเป็นหลักในการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังให้มีการสื่อสารที่ถูกต้องป้องกันการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่อาจจะสร้างผลกระทบเสียหายให้กับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทุเรียน และโดยเฉพาะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศส่งออกหลักสำคัญของไทยอีกด้วย
ประเด็นนี้ ไทยควรจะมีความเด็ดขาด ในการปกป้องชื่อเสียงผลไม้ทุเรียนไทย
ควรพิจารณากำหนดห้ามการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามทุกกรณี แม้แต่การแช่แข็งเพราะขณะนี้เวียดนามกำลังมีปัญหาหนัก เจอสารแคดเมียมหรือปนเปื้อนสารอื่นๆ
5. สมาคมทุเรียนไทย วิเคราะห์ถึงสาเหตุทำให้ทุเรียนไทยราคาลง
ผู้ประกอบการและผู้ผลิตทุเรียน สรุปว่า มาจาก 5 ปัจจัย ได้แก่
1) คุณภาพทุเรียนไม่ดี เนื่องจากปีนี้ทุเรียนมีหลายรุ่น และราคาดีในช่วงแรก เป็นโอกาสที่บางกลุ่มรูดทุเรียน ทำให้มีทุเรียนอ่อนปะปนไปด้วย และช่วงเก็บเกี่ยวทุเรียนมีปริมาณฝนมาก ทำให้เนื้อทุเรียนไม่ได้คุณภาพ น้ำมากทำให้ทุเรียนไม่สุก แป้งน้อย เนื้อแกรนและแข็ง
2) ความเชื่อมั่นของทุเรียนไทยลดลง ผลจากคุณภาพไม่ดี ซื้อแล้วไม่อร่อย อ่อน ไม่หวาน เนื้อแข็งทำให้ลูกค้าไม่กลับมาซื้อซ้ำอีก
3) เงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหมุนเวียนลดลง
4) เศรษฐกิจจีนถดถอยและกำลังซื้อลดลง
และ 5) แหล่งผลิตทุเรียนและส่งออกไปยังจีนมีปริมาณเพิ่มขึ้น
6. “ทุเรียนอ่อน”
ปีนี้ กลับมามีปัญหาทุเรียนอ่อน ราคาดิ่งลงอย่างหนัก
คำพูดของนายกฯ ช่างดูว่างเปล่า
เป็นเพียงการพยายามสร้างภาพที่เบาหวิว เพราะไม่มีรูปธรรมของการสนับสนุนส่งเสริม ช่วยเหลือ ตามที่พูด
ที่ผ่านมา ไทยสูญเสียโอกาสในการเจรจาระดับนโยบายกับทางการจีน เพื่อสนับสนุนการขยายตลาดทุเรียนคุณภาพของไทย หากระดับนายกฯ ใส่ใจ ทุ่มเทสรรพกำลัง หรือได้ผู้นำประเทศที่มีศักยภาพกว่านี้ อนาคตตลาดทุเรียนไทยในจีนจะไปโลดกว่านี้แน่นอน เพราะนายกฯอุ๊งอิ๊งค์กลับไปเดินสายที่อังกฤษ โมนาโก อ้างว่าไปเจรจา F1 ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ขณะที่ทุเรียนไทยมีอนาคตอยู่ในมือแท้ๆ กลับไม่ใส่ใจอย่างที่ควรจะทำ
หรือปัญหาซ้ำซาก อย่าง “ปัญหาทุเรียนอ่อน”
ถ้ารัฐบาลจริงใจ ตระหนักถึงปัญหาจริง จะต้องมีความเข้มงวดกวดขันมากกว่านี้จะต้องลงทุน สนับสนุนเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานทุเรียนไทยมากกว่านี้
ยกตัวอย่าง “เครื่องสแกนทุเรียน”
รศ.ดร.ชาญชัย ทองโสภา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มทส. และคณะวิจัย ได้เปิดโฉม “เครื่องสแกนทุเรียน”
เครื่อง CT-Scan ทุเรียน จะช่วยยกระดับมาตรฐานทุเรียนไทย ตรวจทุเรียนอ่อน - แก่ - หนอน แม่นยำ 95%
นางสาวศิริกร วิวรวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ถึงแม้ประเทศไทยจะยังเป็น “ราชาแห่งทุเรียน” ส่งออกมากกว่า 800,000 ตันต่อปี สร้างรายได้กว่า 150,000 ล้านบาท แต่คำถามสำคัญคือ “เราจะรักษาตำแหน่งนี้ได้นานแค่ไหน?” เมื่อปัญหาทุเรียนอ่อน หนอนเจาะเมล็ด และเนื้อตกเกรด ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีน
ARDA จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อดำเนินโครงการ “การออกแบบเครื่องคัดแยกความอ่อน-แก่ และหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ร่วมกับการประมวลผลผ่านโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก” โดยมี รศ.ดร.ชาญชัย ทองโสภา เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยฯ โดยนำเครื่อง CT-Scan ตกรุ่นปลดระวางจากบริษัทเอกชนที่ให้บริการด้านเครื่องมือแพทย์ มาพัฒนาเป็นเครื่องต้นแบบสำหรับตรวจสอบความอ่อน - แก่ และหนอนในทุเรียนได้อย่างชัดเจนด้วยเทคนิค CT-Scan ที่สามารถสแกนภาพทุเรียนด้วยความละเอียดสูง
โดยแต่ละเฟรมจะแสดงค่า CT-Numbers ที่บ่งบอกถึงความหนาแน่นของเนื้อทุเรียน
ทำให้ตรวจสอบคุณภาพภายในผลทุเรียนโดยไม่ต้องผ่า
และใช้เวลาสแกนเพียง 3 วินาที หรือ 1,200 ลูก/ชั่วโมง
และด้วยระบบ AI ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะให้ทำงานร่วมกันจะช่วยประมวลผลแยกความอ่อน–แก่ ตรวจหาหนอน ได้แม่นยำถึง 95%
สามารถตรวจพบเนื้อที่มีความผิดปกติ เช่น เนื้อเต่าเผา เนื้อลายเสือ เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้ทุเรียนไทย 100% ซึ่งที่ผ่านมาไทยยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตรวจจับได้
ปัจจุบัน เครื่องสแกนทุเรียนได้ผ่านการทดสอบจากห้องทดลองเรียบร้อยแล้ว
รศ.ดร.ชาญชัย ทองโสภา หัวหน้าโครงการวิจัยฯ เปิดเผยว่า “ทีมวิจัย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา คณาจารย์สังกัดสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มทส. ได้ศึกษาวิจัยคิดค้นนวัตกรรมภายใต้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามความเชี่ยวชาญ โดยนำปัญหาและความต้องการพัฒนาของประเทศมาเป็นโจทย์งานวิจัย ซึ่งประเทศไทยได้พัฒนามาสู่อุตสาหกรรมการเกษตร มีการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลายเป็นอันดับต้นของโลก ที่สำคัญคณะนักวิจัยได้พยายามนำองค์ความรู้ที่มีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการนำวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ภายในประเทศมาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า และหลายผลงานนวัตกรรมสามารถผลิตขึ้นได้เองภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าได้อย่างมหาศาล และที่สำคัญได้พัฒนาฝีมือสร้างผลงานนวัตกรรมที่เป็นของคนไทย จะเห็นได้จากงานวิจัยนวัตกรรมหลายผลงานที่ผ่านมาได้มีส่วนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชนทั่วไป อาทิ เครื่องฆ่ามอดข้าว เครื่องไล่แมลงศัตรูพืชด้วยคลื่นวิทยุ เครื่องผลิตปุ๋ยยูเรียหรือสารไนเตรทจากอากาศในธรรมชาติ ต้นแบบลดควันมลพิษ PM2.5 จากไอเสียรถยนต์ด้วยพลาสมาไอออน (Plasma ION) ...”
หน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯอุตส่าห์ลงทุนลงแรง สนับสนุนการวิจัย แต่ระดับรัฐบาลได้สนับสนุนส่งเสริมให้มีการนำไปขยายผล ต่อยอด ให้เกิดประโยชน์รูปธรรมกว้างขวาง หรือไม่?
ไหนบอกว่า จะสนับสนุนเทคโนโลยี????
ทั้งๆ ที่สามารถต่อยอด ยกระดับมาตรฐานทุเรียนพรีเมียม โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนได้เป็นอย่างดี
แต่ทุเรียนไทยกลับต้องวนเวียนกับปัญหาทุเรียนอ่อน ทุเรียนต่างด้าว
เสียโอกาส ทำลายศักยภาพ และบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยิ่ง
6.จีน ถือเป็นผู้นำเข้าทุเรียนไทยรายใหญ่ที่สุด
เฉพาะทุเรียน ในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกรวม 4,404.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 157,506 ล้านบาท
แบ่งเป็น ทุเรียนสด 3,755.7 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า 134,852 ล้านบาท
ทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 649.2 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า 22,654 ล้านบาท
คาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10-15%
อนาคตของทุเรียนไทย จะต้องเน้นคุณภาพ การสร้างแบรนด์ และเพิ่มความแตกต่างของผลิตภัณฑ์
สมาคมทุเรียนไทย ยืนยันว่า “ทางรอดทุเรียนไทย คือลดต้นทุนการผลิต และผลิตทุเรียนคุณภาพ”
อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคยขายฝัน ประกาศตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เป็น 1 ล้านล้านบาท !!!
มาถึงรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ แทบไม่เห็นความหวังอะไรเลย แค่รักษาส่วนแบ่งตลาดเดิมไว้ก็ยังเหนื่อย
ไม่ใช่เพราะเคราะห์ร้าย แต่เพราะได้ผู้นำประเทศที่ไร้ฝีมือ ไร้ความตระหนักในบทบาทหน้าที่อย่างที่ผู้นำประเทศพึงมี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี