เวลาที่ผ่านมา เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะจะเกิดความเสียหาย เสียโอกาส และเสี่ยงจะนำพาบ้านเมืองไปสู่ความ
เสียหายยากแก่การแก้ไขกลับคืน โดยเฉพาะในภาวะที่มีปัญหาเศรษฐกิจระดับโลก
จะเปลี่ยนตัวนายกฯ ปรับรัฐบาลใหม่ ให้ประเทศชาติมีความหวัง มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ได้หรือไม่? อย่างไร?
1. ถ้านายกฯอุ๊งอิ๊งค์รู้จักเสียสละตัวเอง ลาออก
หรือมีเหตุพ้นจากตำแหน่ง
สภาผู้แทนราษฎรจะเลือกนายกฯ ใหม่ โดยเลือกจากบัญชีชื่อ ซึ่งตราบใดที่ทักษิณยังครอบงำ หรือยึดครองอำนาจอยู่ นายกฯจากพรรคเพื่อไทย สภาพก็จะเป็นเหมือนเดิมต่อไป
2. นายกฯจากพรรคร่วมรัฐบาลลำดับรองลงไป หรือนายกฯคนนอก ที่ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติทักษิณ และไม่มีแนวทางปฏิปักษ์ต่อสถาบันแบบพรรคส้ม จะมาได้อย่างไร?
หากเกิดตระหนักรู้ว่า จะปล่อยให้ประแทศชาติติดแหงกอยู่กับนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ หรือลิ่วล้อที่มุ่งรับใช้ทักษิณต่อไป ประเทศชาติมีแต่จะวิกฤตจนไม่อาจแก้ไขกลับคืน ก็จะต้องหารัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรี ดังนี้
หนึ่ง ไม่หงอกับทักษิณ
สอง จงรักภักดี ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนพรรคส้ม
สาม มีประสบการณ์ความรู้ มีบารมี สามารถประสานคนเก่งๆ เข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อประเทศชาติ (ไม่ใช่จำกัดแค่คนที่พร้อมรับใช้ทักษิณเท่านั้น)
แนวทางนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มี สส.พรรคเพื่อไทยบางส่วน และ/หรือ สส.พรรคส้มบางส่วน ย้ายขั้วมาสนับสนุนนายกฯจากพรรคร่วมรัฐบาลที่มิใช่บุคคลในบัญชีนายกฯพรรคเพื่อไทย
3. สส.รายใด ในพรรคเพื่อไทย หรือในพรรคส้ม หากไม่จำนนที่จะให้บ้านเมืองติดแหงกกับนายกฯที่มุ่งรับใช้ผลประโยชน์ทักษิณ และต่อต้านแนวทางปฏิปักษ์ต่อสถาบันจองพรรคส้ม
ไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็น “งูเห่า”
แต่ควรจะเรียกว่า “เสรีไทย”
เพราะมุ่งต่อสู้ให้การบริหารประเทศของรัฐบาลหลุดพ้นจากอิทธิพลเถื่อนและผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองบางตระกูล
4.แนวทางข้างต้น คือ แนวทางที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามครรลองประชาธิปไตยแบบตัวแทน สส.มาจากการเลือกตั้ง
ในความเป็นจริง มีโอกาสเป็นไปได้แค่ 20%
แต่ถ้าเทียบกับวิกฤตการเมืองในอดีตที่มีการย้ายขั้วรัฐบาล ในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน มีกลุ่ม สส.คุณเนวินย้ายไปหนุนนายกฯจากพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดรรองจากพรรคพลังประชาชนในขณะนั้น คือ พรรคประชาธิปัตย์ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ครั้งนั้น ภายใต้บริบทการเมือง ก็มองว่า มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 20% ด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า ปัจุจบัน ดุลอำนาจการเมืองขั้วทักษิณไม่ได้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแม้แต่ในพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ได้มีเสถียรภาพเต็มร้อย ยังมีแรงกระเพื่อมต้องการปรับ ครม.อยู่โดยตลอด
ส่วนพรรคส้ม ก็ล้มเหลวทางการเมืองการเลือกตั้งต่อเนื่อง ทั้งเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้งนายก อบจ.และท้องถิ่น ด้วยระบบบริหารจัดการภายในที่เละเทะ คนทำงานไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าคนสร้างภาพและใกล้ชิดผู้มีอำนาจเหนือพรรค และแนวทางที่สร้างความขัดแย้งกับประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน จึงมีแรงผลักให้ สส. ย้ายขั้วได้ตลอดเช่นกัน
ประการสำคัญ สว.สีน้ำเงินที่ครองเสียงในวุฒิสภามากกว่า 150 เสียงขึ้นไป มีท่าทีจุดยืนหลายเรื่องขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยและพรรคส้มอย่างชัดเจน เช่น เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องนิรโทษกรรม เรื่องมาตรา 112 เรื่องกาสิโน ฯลฯ อีกทั้ง ยังเป็นตัวแปรสำคัญทั้งในการแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงหากต้องเลือกนายกฯ นอกบัญชีพรรคการเมืองก็ต้องพึ่งเสียงจาก สว.ปลดล็อก
เทียบกับสมัยที่มี สส.กลุ่มเนวินพลิกขั้ว ประกาศเป็นไทจากทักษิณ หันไปหนุนพรรค ปชป. ที่มีเสียงรองลงไปขึ้นเป็นนายกฯแล้ว ความจริงในปัจจุบัน ขั้วทักษิณมีพลังน้อยกว่าสมัยโน้นเสียอีก
โดยเฉพาะ “แบรนด์ทักษิณ” ในปัจจุบัน เสื่อมทรามลงอย่างชัดเจน
ทั้งผลงานของลูกสาวที่มาเป็นนายกฯ บริหารล้มเหลวสารพัดเรื่อง ฝักใฝ่จะเปิดกาสิโนในเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ทั้งบารมีไม่ถึง ไหนจะกรณีชั้น 14
ตัวทักษิณเอง ก็ยังลูกผีลูกคน
กรณีศาลฎีกาฯ ไต่สวนการบังคับคำพิพากษาเดิม
กรณีคดีมาตรา 112 ศาลไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ
กรณีศาลปกครองสูงสุดตอกย้ำว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณ ปล่อยปละละเลย ให้มีการทุจริตในการระบายข้าวจีทูจีในโครงการจำนำข้าว ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหนึ่งหมื่นล้านบาท
กรณีคดีภาษีหุ้นชินฯของทักษิณ 1.7 หมื่นล้านบาท คดีอยู่ในชั้นศาลฎีกา
นอกจากนี้ ยังมีกรณีร้อง ป.ป.ช.เกี่ยวกับนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ และรัฐบาลปัจจุบันอีกหลายเรื่อง
ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นตัวแปรบั่นทอนอำนาจและความมั่นคงของขั้วทักษิณในปัจจุบันทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น อะไรที่ดูว่ามีความเป็นไปได้น้อย ก็อาจเป็นไปได้
5. เรื่องราวการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในอดีต ยุคสมัครโดนคนแดนไกลหักหลัง
สมัยนั้น สมัคร สุนทรเวช รับเป็น “นายกฯนอมินี”
วันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นนายกฯ ด้วยขาดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เนื่องจากรับจ้างเป็นพิธีกรของรายการทำครัว
พรรคร่วมรัฐบาลขณะนั้น ต้องหานายกฯคนใหม่มาแทน
ทักษิณโทรศัพท์หาเนวิน “แจ้ง สส. พรรคพลังประชาชนว่าให้สนับสนุนคุณสมัครเป็นนายกฯอีกรอบ”
แหล่งข่าวเล่าว่า สมัครปฏิเสธข้อเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง แต่เมื่อได้รับการขอร้องซ้ำ หนึ่งคืนก่อนการโหวตเลือกนายกฯ ก็ตกลง
เช้าวันที่ 12 กันยายน 2551 เนวินได้รับโทรศัพท์จากทักษิณ ยืนยันให้เลือกสมัครเป็นนายกฯ ทุกอย่างดำเนินไปตามกำหนด สมัครเดินทางไปถึงสภาฯแต่เช้า นั่งรอ สส.พรรคร่วมรัฐบาลในห้องรับรอง
แต่สุดท้าย องค์ประชุมไม่ครบ สส.พรรคพลังประชาชนส่วนใหญ่ไม่มา เพราะทักษิณเปลี่ยนแผน จะเอานายสมชาย น้องเขย เป็นนายกฯแทนนายสมัคร
วันนั้น มีแต่ สส. กลุ่มเพื่อนเนวิน และพรรคประชาธิปัตย์ที่มา
นายสมัครเจ็บปวดใจแสนสาหัส
แน่นอน สส.กลุ่มเนวิน รู้สึกว่าถูกหักหลัง
หลังจากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ค่อยๆ เดินสายพบนักการเมืองกลุ่ม 16 เนวิน บรรหาร สุวิทย์ สุวัจน์ สุชาติ สรอรรถ สมศักดิ์ ฯลฯ
นายสุเทพเล่าว่า เมื่อครั้ง เนวิน ไปส่งลูกเรียนที่อังกฤษและไปเยี่ยมทักษิณซึ่งพำนักอยู่ที่นั่น สุเทพนัดพบเนวินที่ร้านขายนาฬิกาแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ต่างคนต่างทำทีไปซื้อนาฬิกา แล้วคุยกัน
สุเทพบอกเนวินว่า รัฐบาลชุดนี้ไปไม่รอด “คุณกล้าตัดสินใจมาอยู่กับพวกผมไหม? มาเปลี่ยนขั้วทางการเมืองกัน ผมตั้งใจแล้วจะพยายามประคับประคองระบอบประชาธิปไตย คือให้การเมืองในระบอบรัฐสภาเดินได้ เพราะฉะนั้นมันต้องเปลี่ยนแปลง”
เนวินว่า “จะเอาเสียงที่ไหนมาเพียงพอ? พี่มีกี่เสียง?”
“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องสนใจว่าผมมีเท่าไหร่ คุณทำใจไว้ก่อนก็แล้วกันว่าคุณเอาด้วยไหม ไปด้วยกันไหม แล้วในใจคุณคิดว่าจะทำเพื่อชาติบ้านเมืองไหม หรือจะหัวปักหัวปำอยู่กับระบอบทักษิณ คุณก็ไปคิดเอาก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกจากเก้าอี้นายกฯ เพราะศาลรัฐธรรมนูญยุบสามพรรคการเมืองในวันที่ 2 ธันวาคม 2551
นายสุเทพคุยกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “เราจะตั้งรัฐบาล ให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”
ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้
นายชวน หลีกภัย บอกว่า “คุณสุเทพมาพูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อมาขออนุญาตแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะไม่อนุญาต”
สุเทพเขียนในหนังสือ The Power of Change ว่า “เวลาเจรจาผมไม่เอาเปรียบใคร วิธีต่อรองเจรจาของผมก็คือ ผมไปยื่นข้อเสนอให้ชนิดที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ข้อเสนอผมก็คือว่า พวกคุณที่เคยอยู่กับทักษิณนี่เคยบริหารงานกระทรวงไหนบ้าง ผมให้กระทรวงนั้นคุณเลย คุณพอใจไหมล่ะ ถ้าไม่พอใจตรงไหนมาเจรจาได้…แต่นายกฯต้องนายอภิสิทธิ์”
เป็นที่มา สส.พลิกขั้ว ลงคะแนนเสียงในสภา 235 เสียง ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ
ยุคนั้น พรรคประชาธิปัตย์ มีเสียง สส.รองจากพรรคเพื่อไทย
มายุคนี้ พรรคส้ม เซาะกร่อนบ่อนทำลาย แม้จะมี สส.เยอะกว่า แต่แนวทางจะไปแก้มาตรา 112 จะแก้รัฐธรรมนูญหมวดสถาบัน จะนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ก็มีแต่จะพาประเทศขัดแย้งวุ่นวาย เกิดความไม่สงบ เสี่ยงที่จะเปิดทางให้ต่างชาติจะเข้าแทรกแซง
จึงเหลือ พรรคภูมิใจไทย มีเสียง สส.รองจากพรรคเพื่อไทย
รองลงไป ก็พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ ฯลฯ
แต่จะมีใคร มีบารมี มีศักยภาพ และเก๋าเกมการเมืองเพียงพอที่จะทำให้การเจรจาต่อรองลงตัว
เป็นรัฐบาลที่มีนายกฯ 1. ไม่หงอกับทักษิณ 2. จงรักภักดี ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนพรรคส้ม และ 3. นายกฯมีประสบการณ์ความรู้ มีบารมี สามารถประสานคนเก่งๆ เข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อประเทศชาติ (ไม่ใช่จำกัดแค่คนที่พร้อมรับใช้ทักษิณเท่านั้น)
จริงอยู่ ปัจจุบัน แนวทางนี้ อาจมีความเป็นไปได้ไม่ถึง 20%
จะต้องมี “สส.เสรีไทย” ปลดล็อกตัวเองจากทักษิณ เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติ ไม่ให้จมปลัก ติดแหงกอยู่กับนายกฯอ่อนหัดที่ทักษิณเลือกเท่านั้น
อย่าลืมว่า อะไรที่เคยเป็นไปได้ไม่ถึง 10% ก็เกิดขึ้นมาแล้วในการเมืองไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี