ตอนนี้ นักการเมืองแย่งชิงอำนาจกัน เพื่อผลประโยชน์การเมืองของกลุ่มตนเอง
ไม่สนว่าจะพาประเทศเข้าไปติดกับดักเงื่อนไขข้อจำกัดอะไร
ทุกกลุ่ม ทั้งแดง น้ำเงิน และส้ม ต่างเลือกผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตนเองเป็นสำคัญ
แล้วชิงเล่ห์เหลี่ยมกัน ถึงขนาดฝ่ายแดงยื่นขอยุบสภาไปแล้ว ทั้งๆ ที่ มีเสียงท้วงติงถึงอำนาจหน้าที่ และความเหมาะสม
1. เมื่อวานนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า ได้นำร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร ทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวาน (2 ก.ย.)
นายภูมิธรรมอธิบายว่า ขณะนี้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นระบอบประชาธิปไตยบิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามครรลอง การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน ตกลงกันที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยประกาศว่า พรรคประชาชนโหวตให้แต่ไม่เป็นรัฐบาล ซึ่งเท่ากับว่า แบ่งเป็นสามกลุ่มเหมือนเดิม และพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่เป็นฝ่ายพรรคฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนก็มีสองหมวกในตัวเอง คือ เป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บรรยากาศทางการเมืองมีการดึงซื้อตัวสส. เกิดความสับสนอลหม่าน ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีปัญหา
“ดังนั้น สิ่งที่สำคัญวันนี้ ถ้าไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมาสู่ประเทศได้ ยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งถูกกระทบและถูกรุมเร้า ฝ่ายกฎหมายจึงคิดว่า ควรจะคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพระราชอำนาจ ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย
ในสถานการณ์ต่างๆ ผมในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีจึงได้พิจารณาและรวบรวมความเห็นต่างๆ เพื่อกราบบังคมทูลฯ ถึงสถานการณ์ต่างๆ ให้พระองค์ทรงทราบ เพื่อแก้ปัญหานี้ผมจึงได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวาน (2 ก.ย.2568) แล้ว” -นายภูมิธรรมกล่าว
2. นายภูมิธรรมไม่กล่าวถึงเลย คือ ต้นเหตุที่นำมาซึ่งสถานการณ์การเมืองเช่นนี้
ไม่ต้องเอ่ยถึงปัญหาทางการเมืองระหว่างแดงกับน้ำเงินเอง เป็นฝ่ายแดงที่ไปปรับ ครม. ตามความต้องการของทักษิณ ดึงเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทยมาดูแลเอง (ผิดข้อตกลงตอนตั้งรัฐบาลร่วมกันกับน้ำเงิน)
ประการสำคัญ อย่าแกล้งลืม... กรณีหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั่นเอง ที่มีพฤติกรรมปรากฏตามคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน จนถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงจนพ้นจากตำแหน่ง แล้วจริงๆ รมต.ทั้งคณะก็พ้นไปด้วย เพียงแต่รัฐมนตรีที่เหลือ (ยกเว้นนายกฯอุ๊งอิ๊งค์) ยังปฏิบัติหน้าที่พลางจนกว่าจะมี ครม.ใหม่
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุพฤติการณ์ร้ายแรงของนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เช่น
“... เปิดเผยลักษณะอ่อนแอทางการเมืองในประเทศให้กัมพูชาทราบ...
แสดงยอมตน หรือยอมจำนนล่วงหน้าให้ฮุนเซน...
เปิดช่องให้กัมพูชาหยิบยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ...
ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ เพราะรู้จักกับฮุนเซนส่วนตัว และดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชา...
ไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่กล่าวอ้าง แต่ปฏิบัติหน้าที่ขาดความรอบคอบ ระมัดระวัง ตามวิสัยและพฤติการณ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ...
ประโยชน์ส่วนตัว คือ คะแนนนิยม เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึง หรือยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง...
ลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิ หรือเกียรติของนายกฯ และประเทศไทย..
มีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติภูมิ แต่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าผลประโยชน์ชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ มีลักษณะร้ายแรง…
..ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า ผู้ถูกร้องจะทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา มากกว่าประโยชน์ของชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธานายกฯของไทย
...เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของนายกฯ ไม่ยึดมั่นกฎหมาย และไม่คำนึงผลประโยชน์ชาติ …”
นี่คือที่มาของสถานการณ์การเมือง ที่ทำให้พรรคส้ม ซึ่งมีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ได้โอกาสเข้ามากำหนดเงื่อนไขทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อทำให้รัฐบาลอ่อนแอและขี่คอรัฐบาลชุดใหม่
3. สุดแสนอนาถ... เมื่อนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์พ้นตำแหน่งไป แทนที่จะเปิดโอกาสให้ประเทศได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีประสิทธิภาพในการทำงาน กลับจะได้รัฐบาลที่ตกอยู่ใต้เงื่อนไขทางการเมืองของพรรคเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงและสถาบันหลักของประเทศ
วาระแก้ปัญหาประเทศไทย ถูกขโมยไปเป็นวาระการเมืองของกลุ่มเซาะกร่อนบ่อนทำลาย
ส้มฉวยโอกาสนี้ เล่นเกม ต้องการให้ประเทศได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย อ่อนแอ ยอมโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ พร้อมเงื่อนไข 4 เดือนยุบสภา แก้ รธน. ไม่ร่วมเป็นรัฐบาล (จริงๆ ส้มควรร่วมบริหาร ร่วมรับผิดชอบ)
ฝ่ายเพื่อไทย ก็ให้นายภูมิธรรมยื่นยุบสภา
ทั้งส้ม น้ำเงิน และแดง ต่างชิงเหลี่ยมทางการเมืองกัน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตนเอง
4. ความจริง นายภูมิธรรมไม่ใช่ “นายกฯ”
แม้แต่ตัวนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ก็พ้นไปแล้ว ตามคำวินิจฉัยศาล รธน. และถูกห้ามรักษาการด้วยซ้ำ
แถมตัวนายภูมิธรรมและครม.ก็พ้นจากรัฐมนตรีแล้วด้วยซ้ำ เพียงแค่ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอ ครม.ใหม่
นายภูมิธรรมบังอาจทูลเกล้าฯ ขอให้ยุบสภา แทนนายกฯตัวจริง จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายและ รธน.หรือไม่ ?
จะมีใครติดคุกตอนแก่ หรือไม่?
5. คุณปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันความเห็นเดิม ระบุว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หน่วยงานไหนจะเป็นผู้ตัดสินได้ชัดเจน?
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า จริงๆ แล้วเรื่องการตีความรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เราเพียงให้ความเห็นกันไปคนละนิดละหน่อย แต่เดี๋ยวพูดกันไปมันจะยุ่ง
สิ่งที่เลขาฯกฤษฎีกาเคยให้ความเห็นไว้ คือ การโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Alex Pakorn” ถึงข้อถกเถียงที่ว่า ผู้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีอำนจยุบสภาได้หรือไม่ ระบุชัดเจนว่า
“...อธิบายซ้ำ : ผมอธิบายว่าตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา การเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีและการยุบสภา เป็นอำนาจเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่ปกครองในระบอบรัฐสภาแบบ Westminster เป็นไปตาม “หลักความไว้วางใจ”
ประเทศไทยจะเห็นได้ชัดในประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความสรุปว่า ประธานสภา…. กราบบังคมทูลว่าสภาลงมติไว้วางใจให้ นาย/นางสาว … เป็นนายกรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรีก็ชัดเจนว่า บัดนี้นาย/นางสาว … นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรไว้วางใจให้เป็นรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังต่อไปนี้เป็นรัฐมนตรี
จะเห็นได้ชัดว่า เป็นความไว้วางใจมาเป็นทอดๆ และพระมหากษัตริย์ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตามที่สภาเสนอและประธานสภานำความกราบบังคมทูล หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลว่าสมควรไว้วางใจ
โดยนัยนี้เอง รองนายกรัฐมนตรี (รนม.) รักษาราชการแทนนายกฯ จึงไม่มีอำนาจเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี หรือเสนอให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เพราะ รนม. รักษาราชการแทน นรม.นั้น เป็นเพียงรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งได้รับความไว้วางใจจาก นรม. เฉกเช่นเดียวกับ รมต. คนอื่นไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร จึงจะแต่งตั้งหรือปลด รมต. คนอื่นๆ มิได้
หรือยิ่งไปกว่านั้น คือ รนม. รักษาราชการแทน นรม. จะเสนอให้ยุบสภา ถ้ายังมีผู้ดำรงตำแหน่ง นรม. อยู่ ยิ่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารหากเป็นเพียงผู้ซึ่ง นรม. ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ว่าเป็นผู้สมควรไว้วางใจให้แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น
การยุบสภาจึงเป็นอำนาจเฉพาะของ นรม. เท่านั้น
กล่าวได้ว่า การกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รมต. ก็ดี หรือถวายคำแนะนำให้ยุบสภาก็ดี เป็นเรื่องของ นรม. ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยแท้
ถ้า นรม. พ้นจากตำแหน่ง รนม. รักษาราชการแทน นรม. จะมีอำนาจเช่นนั้นหรือไม่
ต้องทราบว่าถ้า นรม. พ้นจากตำแหน่งไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ผลคือคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และรัฐธรรมนูญบัญญัติรองรับไว้ว่า เมื่อ ครม. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะให้ดำเนินการเพื่อให้มี ครม.ขึ้นใหม่ implication จึงชัดเจนว่าสภาต้องดำเนินการเพื่อให้มีการเลือก ครม. ใหม่ขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมีสภาอยู่เพื่อดำเนินการดังกล่าว เป็นบทบังคับที่ต้องดำเนินการ สภาจึงไม่อาจถูกยุบได้ในห้วงเวลานี้ และถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะทำดังกล่าวมาข้างต้น
ถ้า นรม. เกิดป่วยจนปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง รนม.รักษาราชการแทน นรม.จะกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาได้ไหม ต้องบอกว่าในระบบความไว้วางใจนั้น ถ้าผู้ซึ่งสภาให้ความไว้วางใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง สภาก็ต้องเรียกประชุมกันเพื่อถอดถอนความไว้วางใจสำหรับท่านเดิม แล้วพิจารณาลงมติกันว่าสมควรไว้วางใจผู้ใดขึ้นแทน เป็นกระบวนการของสภาที่จะต้องปรึกษาหารือตกลงกัน ไม่ใช่กิจของผู้รักษาราชการแทน
ย้ำว่าคำว่า “ไว้วางใจ” ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ “แบบ” แต่มันคือ “ระบบ”
ที่เขียนมานี้เพียงเพื่ออธิบายหลักการของรัฐธรรมนูญตามความรู้ที่ร่ำเรียนมาเท่านั้น ถ้าอยากรู้ลึกๆ ให้ไปอ่านตำราประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภาแบบ Westminster ดู เอา ตั้งแต่สมัยพระเจ้า George I ที่เริ่มมี Prime Minister คนแรกคือ Sir Robert Whapole (later : 1st Earl of Oxford) ก็พอ” - นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ความเห็นทางวิชาการ)
5. ล่าสุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหนังสือจาก นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย สส.พรรคภูมิใจไทย เรื่องขอให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่นายอนุทิน พรรคภูมิใจไทย ยอมรับเงื่อนไขจากพรรคส้ม
ยุบสภาภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
จัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสส.
พรรคภูมิใจไทยจะต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ตนเองเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
และพรรคประชาชนจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งในครม.ชุดใหม่
6. จับตา การเมืองชิงเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้
ช่วงยังไม่มีโปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ. ยุบสภา ประธานสภา วันนอร์ จะนัดประชุมเลือกนายกฯ หรือไม่?
ถ้านัด แล้วส้มโหวตให้จริง นายอนุทินจะคงได้เสียงท่วมท้น เกิน 247 ไปเยอะ (ได้ถึงราว 280 เสียง)
แต่ถ้าส้มหักหลัง ภท. (เพราะ พท.เสนอยุบสภา ส้มสมประโยชน์) ส้มอาจอ้างว่า แดงยื่นยุบสภาแล้ว ให้รอ พ.ร.ฎ. ยุบสภา
อีกด้าน.. ถ้าโปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ. ยุบสภา ก็เดินหน้าไปเลือกตั้ง
สเต็ปแรก... ชิงเหลี่ยมเสนอยุบสภา ตัดหน้าเลือกนายกฯ ในสภา ผลจะเป็นอย่างไร อย่ากะพริบตา!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี