ตราบใดที่ยังไม่มี พ.ร.ฎ. ยุบสภา สภาผู้แทนราษฎรก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป
หากจะรั้งรอ ไม่เลือกนายกฯ เพราะเหตุผลทางการเมืองใดๆ
ไม่ว่าจะเป็น อยากได้ยุบสภาทันที
หรือเห็นว่าเสียงข้างมากในสภาจะไม่เลือกพรรคตัวเองเป็นนายกฯ
ล้วนแต่เป็นเหตุผลทางการเมืองที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ น่าทุเรศ ไร้ยางอาย
และยังเป็นการพยายามสร้างความกดดันไปที่สถาบันเบื้องสูงโดยมิบังควร
หลังจากที่บังอาจกระทำการถวายร่าง พ.ร.ฎ. ยุบสภาขึ้นไป ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ามีปัญหาข้อกฎหมายอยู่
โดยเหตุทั้งหมด ล้วนมีที่มาจากการช่วงชิงผลประโยยชน์ของนักการเมือง พรรคการเมืองทั้งสิ้น
1. เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.) พรรคประชาชนโพสต์ข้อความว่า
“(ขอความชัดเจนจากรองนายกฯ ภูมิธรรม กรณีกระบวนการยุบสภา)
สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (3 ก.ย.) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระการโหวตนายกรัฐมนตรีเข้ามาแล้ว และพรรคเพื่อไทยก็มีมติเสนอแคนดิเดตชิงตำแหน่งนายกฯ แต่กลับมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลได้เสนอความเห็นเพิ่มเติมไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อยืนยันการทูลเกล้าฯ ยุบสภา
พรรคประชาชนมีจุดยืนแน่วแน่ว่าฝ่ายบริหารมีอำนาจเต็มในการยุบสภา จึงขอความชัดเจนจากคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ว่ากระบวนการยุบสภาได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่
หากกระบวนการยังดำเนินอยู่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เห็นว่า ประธานสภาฯ ควรทบทวนการบรรจุญัตติการโหวตนายกฯจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องยุบสภา แต่หากรัฐบาลยืนยันว่ากระบวนการสิ้นสุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรก็จะได้ดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป
“พรรคเพื่อไทยมีความย้อนแย้งในตัวเอง ด้านหนึ่งมีข่าวออกมาว่าเตรียมเสนอแคนดิเดตนายก แต่กลับมีกระแสข่าวว่ายังดำเนินการในการยุบสภาอยู่ ผมจึงต้องเรียกร้องขอความชัดเจนจากคุณภูมิธรรม ว่าตกลงได้ยุติเรื่องการยุบสภาแล้วหรือไม่ อย่างไร”
หัวหน้าพรรคส้ม ยังเล่นบทชักเข้า-ชักออก
เหมือนเด็กเล่นขายของ
ปากบอกว่า หากสภาบรรจุวาระการประชุมเลือกนายกฯแล้ว ก็พร้อมเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ ตามข้อตกลง ทันที
แต่พอเห็นนายภูมิธรรมยื่น พ.ร.ฎ. ยุบสภา แบบที่มีปัญหาความถูกต้องทางกฎหมาย ก็ตัวสั่นระริกทันที
กระสันอยากได้ยุบสภา จนแกล้งลืมไปว่า สภาบรรจุวาระเลือกนายกฯไปแล้ว
การทำทีเป็นถาม พร้อมๆ กับยืนยันว่า นายภูมิธรรมมีอำนาจยุบสภา ไม่ต่างอะไรกับการพยายามกดดันที่สถาบันเบื้องสูง
ทั้งๆ ที่ กระบวนการกลั่นกรองเรื่องทูลเกล้าฯ ก็เป็นไปตามปกติเช่นนี้
แล้วจะให้ประธานสภาฯ ทบทวนการบรรจุญัตติการโหวตนายกฯ จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องยุบสภา เพื่ออะไร
รอจนกว่าจะได้ตามความต้องการของตนเอง ไม่รู้จักพอ อย่างนั้นหรือ
2. โปรไฟไหม้
เมื่อวานนี้ (4 กันยายน) นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 5 กันยายนนี้โดยหากได้รับเสียงข้างมากและผ่านการถวายสัตย์ รวมทั้งแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว พรรคเพื่อไทยจะประกาศยุบสภาทันที เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แชร์ ig story “เลือก “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ ยุบสภาทันที”
โถ... แม่คุณ ช่างความรู้สึกช้าเหลือเกิน
ประชาชนเรียกร้องให้นายกฯแพทองธารลาออก หรือยุบสภา ตั้งแต่เกิดเรื่องคลิปเสียง
แต่ก็ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลย
พอศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยชี้ขาด ก็ยังไม่เคยออกมาขอโทษประชาชนเลย
ถึงเวลาจะเลือกนายกฯ คนใหม่ ก็วิ่งไปขอเสียงจากพรรคส้ม แต่เขาเลือกโหวตให้สีน้ำเงิน
ก่อนวันเลือกนายกฯ ก็ออกประกาศโปรไฟไหม้ออกมาแบบนี้
นี่มันเด็กเล่นขายของ หรืออะไรกันแน่?
ชักสงสัย.. ทำไมพรรคเพื่อไทย กลัวที่จะเป็นฝ่ายค้านเหลือเกิน?
ซุกซ่อนอะไรไว้ ทำอะไรไว้หรือ?
3. นักข่าวโทรศัพท์สอบถามนายชัยเกษมถึงประเด็นดังกล่าว
นายชัยเกษม กล่าวว่า “เขาประกาศแล้ว ผมไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้ตาม เขาไม่ได้บอกผม เอาเป็นว่าผมไปตามที่พรรคว่า ถ้าเขาต้องการอย่างไร เห็นว่ามันจะดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองต่อส่วนรวมก็ดี ก็ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องขัดข้อง แต่ผมไม่รู้รายละเอียดจริงๆ ว่าเขาจะทำแค่ไหนอย่างไร“
นายชัยเกษม กล่าวอีกว่า เรื่องแบบนี้ต้องว่าไปตามพรรค เชื่อว่าพรรคดูแล้วมีผลได้ผลเสียอย่างไร ไม่ใช่ตนตัดสินใจหรอก ส่วนเรื่องความพร้อมการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ยังคงยืนยันว่าไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยประกาศทางเลือกนี้เป็นทางเลือกสุดท้าย สายเกินไปหรือไม่ ?
นายชัยเกษม ระบุว่า ตนมองว่าพรรคมีคนที่ดูแลอยู่ หากคิดว่าอะไรที่เหมาะสมหรือที่ควรทำ ก่อนจะบอกว่า “ผมเป็นแค่ตุ๊กตาตัวนึง” พร้อมหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
ถามว่า อยากให้พรรคเพื่อไทยมาพูดคุยโดยตรงหรือไม่ ว่าเงื่อนไขและทางเลือกสุดท้ายจะเป็นแบบนี้?
นายชัยเกษม ระบุว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะตนมีความไว้วางใจในพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยเวลาจะทำอะไร เขาไม่ได้สั่งมาโดยไม่มีเหตุผล ยืนยันว่า ยินดีปฏิบัติตามอยู่แล้ว แต่หากมีอะไรที่ไม่เห็นด้วยแล้วแย้งกลับไป พรรคเพื่อไทยก็พร้อมฟังตนเช่นกัน ในเมื่อเรามีเหตุผลต่อกัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
นายชัยเกษม ฝากทิ้งท้ายถึง สส.ที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 5 ก.ย. 2568 ว่า
“ผมเป็นคนที่พูดง่ายๆ จะทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชนทั้งนั้น เพราะฉะนั้น หากมอบหมายอะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนได้ คงไม่ขัดข้องอะไร แต่หากเห็นว่ามีคนอื่น เขามีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ดีกว่า ก็ให้เขาจัดการเขาไป ผมก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน เพราะว่าผมก็มีความสุขในชีวิตในปัจจุบันของผมอยู่แล้ว ให้เป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น”
4. นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับ
สาระสำคัญ คือ ยอมรับว่า ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรที่ตนเองเสนอไปนั้น ถูกตีกลับจริงๆ
ฉบับที่ 1 “เพื่อความกระจ่างชัดเรื่องการยุบสภา”
“ในช่วงที่การเมืองยังสับสน ผมขอเรียนชี้แจงให้เกิดความกระจ่างชัดในประเด็นร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรดังนี้
รัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรและส่งให้สำนักงานองคมนตรีพิจารณาแล้วเมื่อเย็นวันที่ 2 กันยายน 2568 ต่อมาได้รับแจ้งจากสำนักงานองคมนตรีว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายที่มีการโต้แย้งและยังไม่เป็นข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำ จึงยังไม่เห็นสมควรนำร่างพระราชกฤษฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเวลานี้
รัฐบาลเคารพในขั้นตอนและหลักนิติธรรมทุกประการ และจะนำกลับมาทบทวนและพิจารณาเพื่อให้เกิดความเหมาะสมถูกต้อง แต่ขอย้ำชัดว่า เจตนารมณ์ของรัฐบาลคือการคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด”
ฉบับที่ 2 “เดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตย”
“เมื่อพรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะโหวตสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และมีการบรรจุวาระเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ทุกพรรคการเมืองต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตน ให้ประชาชนได้เห็นว่ากลไกสภายังคงทำงานตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
สำหรับพรรคเพื่อไทย เราพร้อมเสนอชื่อศาสตราจารย์ชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี และขอยืนยันต่อประชาชนว่า หากเราได้รับเสียงสนับสนุน เราจะประกาศยุบสภาทันที ไม่รอครบกำหนด 4 เดือน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าอย่างรวดเร็ว และคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินอนาคตประเทศด้วยมือของตนเอง
เรายังคงหวังให้กระบวนการประชาธิปไตยสามารถเดินหน้าได้อย่างสง่างาม ให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีตามเอกสิทธิ์อย่างเต็มที่ และกำหนดทิศทางของประเทศไทยอย่างแท้จริง”
น่าคิดว่า แถลงการณ์ของนายภูมิธรรมข้างต้น คือ การพยายามจะแก้ต่างให้ตัวเอง และยืนยันเจตนายุบสภา
แต่ไม่กล่าวถึงปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น มาจากพรรคของตนทั้งสิ้น
ตั้งแต่พฤติกรรมการสนทนากับฮุนเซน กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดนายกฯพ้นตำแหน่ง และ ครม. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
การเจรจาดีลการเมืองไม่สำเร็จ ฝ่ายเพื่อไทยขอเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ก็ไม่ได้เสียงจากส้ม
พยายามชิงเหลี่ยม จะยุบสภา
รู้ทั้งรู้ว่า สถานะของตนเองอาจไม่มีอำนาจหน้าที่ยุบสภา มีปัญหาทางกฎหมาย ยังไม่ยุติ และเลขาฯกฤษฎีกาก็เคยให้ความเห็นต่อสาธารณะไว้ชัดเจนว่านายภูมิธรรมเสนอยุบสภาไม่ได้แต่นายภูมิธรรมก็ยังบังอาจรีบทูลเกล้าฯเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ยุบสภา เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเองอย่างชัดเจน
แล้วยังจะดื้อดึง ต่อสู้ดิ้นรนต่อไปอีก เพื่ออะไร?
จะทำเพื่อใคร? รับใช้ใครอีก?
5. ล่าสุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 ก.ย.นี้
ระบุว่า ตนได้อนุญาตให้เลขาธิการสภา บรรจุเรื่องนี้ลงระเบียบวาระด่วนพิเศษขึ้นมาซึ่งเมื่อเข้าสู่วาระก็เป็นเรื่องของสมาชิกที่จะเสนอชื่อบุคคลใด ส่วนผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ จะต้องแสดงวิสัยทัศน์หรือไม่นั้น ไม่มีข้อบังคับ และรัฐธรรมนูญระบุไว้ ไม่เหมือนการเลือกตำแหน่งประธานสภา หรือ รองประธานสภา
“แต่การเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ผ่านมานั้น ไม่มีการแสดงวิสัยทัศน์เพราะบุคคลเหล่านั้น เป็นบุคคลภายนอก
ซึ่งคราวนี้ก็ยังไม่ทราบว่า จะเสนอชื่อของบุคคลที่อยู่ในสภาหรือนอกสภา
เรื่องการแสดงวิสัยทัศน์ จึงต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่ถูกเสนอชื่อ หากมีความประสงค์ก็สามารถแจ้งได้ ขึ้นอยู่กับสภาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ตามข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ”
เมื่อถามว่า ภายหลังมีการเสนอชื่อ สส.สามารถแสดงความคิดเห็นต่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่?
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “การแสดงความคิดเห็นน่าจะเป็นเรื่องของการเสนอชื่อว่ามีเหตุผลอะไรในการเสนอ แต่เรื่องการอภิปราย ความรู้ ความสามารถ ของแต่ละคน มองว่าอาจจะไม่ใช่ในวาระนี้ เพราะผู้ที่ได้รับการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องมาแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งในวันเดียวกันนั้น สมาชิกจะสามารถอภิปรายได้ ทั้งเรื่องความรู้ ความสามารถ และเรื่องอื่นๆ เพราะฉะนั้น ในการเลือกวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) ไม่น่าจะมีการอภิปราย การจะไปบอกว่าท่านนั้นไม่ดี มีปัญหาอย่างนั้น คงไม่ใช่วาระ”
6. ติดตามว่า การเลือกนายกฯ จะมีใครได้คะแนนถึง 247 เสียง หรือไม่?
นายอนุทิน มีโอกาสมากที่สุดในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า จะยังคงมีการต่อสู้ทางการเมืองต่อไปอีก
เช่น การร้องเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การอภิปรายความไม่เหมาะสม ฯลฯ
ทั้งหมด เป็นสิทธิของผู้ร้อง หากร้องตามกฎหมาย ย่อมกระทำได้
สำคัญกว่านั้น นายอนุทินเอง จะต้องพิสูจน์ตัวเองผ่านการกระทำต่อไปด้วยว่า ไม่ใช่เป็นนายกฯผู้รับใช้วาระทางการเมืองของพรรคส้ม เซาะกร่อนบ่อนทำลาย
ซึ่งขัดกับอุดมการณ์และจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยเสียเอง
ใครเป็นนายกฯ จะต้องเป็นนายกฯที่มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มิใช่ถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ทางการเมืองสำหรับกลุ่มเซาะกร่อนบ่อนทำลาย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี