วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
กรณีเกิดปัญหาผู้บริหารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งไม่ยอมลงนามต่อสัญญาสัมปทานขนส่งมวลชนที่จะให้มีการต่อโดยไม่ต้องประมูลเพราะเกรงเป็นการผิดกฎหมาย และลาออกไปถึงสองคน เป็นข้อเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนและคงจะเป็นเรื่องใหญ่ในวันข้างหน้า
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าโง่ ซึ่งอ้างว่าต้องเสียค่าโง่และป้องกันการเสียค่าโง่ จึงต้องทำการแบบโง่ๆ และทำให้คนที่ไม่ยอมโง่ด้วยต้องยอมลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ ทั้งๆ ที่มีความสามารถที่จะบริหารการงานให้บังเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติได้อย่างน่าเสียดาย
ล่าสุดก็มีข่าวว่ามีการอนุมัติให้ลงนามต่อสัญญาสัมปทานกับกิจการสัมปทานการขนส่งสาธารณะรายหนึ่งโดยไม่ต้องประมูล อ้างว่าเพื่อการแก้ไขปัญหาที่อาจต้องเสียค่าโง่ถึง 300,000 ล้านบาทดังนั้นจึงอ้างเป็นเหตุว่าป้องกันความเสียหายของรัฐจากค่าโง่ 300,000 ล้านบาท แล้วอนุมัติให้ต่ออายุสัมปทานโดยไม่ต้องประมูล
เรื่องราวเกี่ยวกับค่าโง่นี้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละงานโดยเฉพาะโครงการใหญ่ๆ ที่มีได้เสียมากๆ และเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน และหลายกรณีก็แพ้คดี ต้องจ่ายค่าโง่จริงๆ ก็มี
ซึ่งความรับผิดในเรื่องค่าโง่นั้นก็เกิดขึ้นได้ทั้งกรณีจากคำตัดสินของศาล เพราะมีการสร้างเรื่องโง่ๆและการดำเนินการโง่ๆ จนต้องแพ้คดีก็มี และที่สำคัญก็ต้องเสียค่าโง่เพราะการกระทำโง่ๆ โดยเฉพาะคือการยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตราวกับอยู่ในสมัยสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง คือตกลงไม่ให้นำข้อพิพาทขึ้นศาลไทยโดยตกลงกันให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดคดี ซึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ หรือบ้างก็เป็นอนุญาโตตุลาการในประเทศ และเกือบร้อยทั้งร้อยก็ต้องรับผลแห่งความโง่ คืออนุญาโตตุลาการตัดสินให้แพ้คดีแล้วต้องจ่ายค่าโง่กันมหาศาล
อันระบบอนุญาโตตุลาการนั้นคือระบบเมืองขึ้นที่ตัดอำนาจศาลของประเทศไทย โดยวิธีการหลอกลวงซ่อนเงื่อน นั่นคือ เมื่อมีการทำความตกลงให้นำข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายละ 1 คน แล้วอนุญาโตตุลาการทั้งสองฝ่ายก็จะร่วมกันตั้งอนุญาโตตุลาการอีก 1 คน รวมเป็น 3 คน แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าอนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นจะเข้าข้างฝ่ายไหน ยิ่งอนุญาโตตุลาการคนที่สามก็มักจะแน่นอนว่าเป็นของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ
เมื่ออนุญาโตตุลาการตัดสินแล้วก็ห้ามนำคดีขึ้นสู่ศาล ยกเว้นแต่ว่าอนุญาโตตุลาการทุจริตคือรับสินบาทสินบนซึ่งไม่มีทางที่จะพิสูจน์ได้ ดังนั้นแม้จะแหกตาหลอกคนโง่ว่าศาลยังมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีอำนาจแต่ประการใด เหมือนกับไปตั้งเงื่อนไขว่าให้ศาลมีอำนาจพิจารณาก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นแหละ
เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ยกย่องเชิดชูนักกฎหมายให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีหน่วยงานและผู้รับผิดชอบทางกฎหมายในการงานทั้งหลายของรัฐมากมายสุดคณานับ
ในรัฐบาลก็มีการตั้งผู้รับผิดชอบงานกฎหมายของรัฐบาลเป็นถึงระดับรองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจกำกับดูแลหน่วยงานด้านกฎหมายทั้งหมดของรัฐ ซึ่งถ้าว่าโดยปกติก็ไม่มีทางที่จะเกิดกรณีโง่ๆ ใดๆ ขึ้นได้เลย
ในระดับองค์กรอิสระก็มีหน่วยงานทางกฎหมายมากมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งถือว่าเป็นที่ปรึกษาสำคัญทางกฎหมายของรัฐบาล มีสำนักงานอัยการสูงสุดที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมายให้กับรัฐบาล และยังมีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งแต่ก่อนร่อนชะไรมาก็ถือเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเฉพาะด้านกฎหมายให้กับรัฐบาล
นอกจากนั้น ยังมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่คอยกำกับดูแลการกระทำทั้งหลายให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ให้โง่ หรือแกล้งโง่ หรือเสียหายจากความโง่แบบขี้โกง
ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรมบัญชีกลาง เป็นต้น
นอกจากนั้นในแต่ละหน่วยงานของรัฐบาลก็มีหน่วยงานกฎหมายและมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบทางกฎหมายที่ชำนิชำนาญที่รับผิดชอบงานด้านกฎหมายมากมาย มิหนำซ้ำ ยังมีผู้ตรวจราชการที่คอยตรวจตราราชการทั้งหลายในความรับผิดชอบของหน่วยงานให้เป็นไปโดยชอบและถูกต้องตามกฎหมาย
ขนาดนี้แล้ว จะทำอะไรโง่ๆ ได้หรือ จะแกล้งโง่ได้หรือ และจะเสียค่าโง่ได้หรือ
แต่การกลับตรงกันข้าม มีการกระทำโง่ๆ ทั้งโง่จริง โง่เก๊ และแกล้งโง่ เกิดขึ้นมากมายในแทบทุกโครงการและแทบทุกหน่วยงานจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่บ้านเมือง ดังเช่นกรณีที่ตั้งต้นของบทความเรื่องนี้ก็มีการระบุว่าอาจต้องเสียค่าโง่ถึง 300,000 ล้านบาท หรือ 10% ของงบประมาณแผ่นดินปี 2563 นับเป็นค่าโง่มโหฬารมหากาฬที่สุดของประเทศ
เรื่องโง่ แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทุกครั้งที่มีเรื่องโง่ๆ แบบนี้เกิดขึ้นก็ไม่เคยมีการตรวจสอบไต่สวนเรื่องโง่ๆ แบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว กลับจะยิ่งโง่มากขึ้นโง่หนักขึ้น และต้องมีค่าโง่เพิ่มมากขึ้น กระทั่งถึงขั้นลำพอง พยายามจ่ายค่าโง่ให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุดจนภาคประชาสังคมต้องไปร้องต่อศาลก็มีให้เห็นมาแล้ว
ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ต้องกำจัดกวาดล้างความโง่และค่าโง่ทั้งหลายให้สิ้นแผ่นดินไทย!

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62
มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน
สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา
แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี