สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอเก็บตกเรื่องเล่าจากงานเสนา “2020 : คลื่นลูกใหม่กับกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกและอุษาคเนย์” เมื่อเร็วๆ นี้มาเล่าสู่กันฟังโดยในงานดังกล่าว รศ.ดร.พิภพ อุดร อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พูดถึง “คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประชากร” ที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก จากเดิมในช่วงทศวรรษ 1960 (ปี 2503-2512) โครงสร้างเป็นแบบพีระมิดที่ส่วนฐานหมายถึงประชากรวัยเด็กมีจำนวนมหาศาล
กระทั่งในทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542) พบว่าจำนวนประชากรเด็กเกิดใหม่เริ่มลดลง และในปัจจุบันคือปี 2563 โครงสร้างประชากรโลกมีลักษณะคล้ายเจดีย์ คือฐานแคบลงใกล้เคียงกับช่วงกลางอันหมายถึงจำนวนประชากรวัยเด็กใกล้เคียงกับประชากรวัยแรงงาน แต่ส่วนยอดอันหมายถึงประชากรวัยชราเริ่มกว้างขึ้น “คนเกิดน้อยและคนก็ตายน้อย” หันซ้ายก็เจอเด็กมองขวาก็เจอคนแก่ “ภาระหนักจึงตกอยู่กับคนวัยแรงงาน” เพราะทั้งเด็กและคนแก่ล้วนแต่เป็นวัยพึ่งพิงไม่สามารถดูแลตนเองได้เต็มที่ และส่งผลกระทบต่อระบบสวัสดิการสังคมต่างๆ ที่รัฐจัดให้มีขึ้น
ขณะที่ในประเทศไทย “ในปี 2573 ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป ในประเทศไทยจะมากกว่าร้อยละ 20 และเมื่อใดที่ขึ้นไปถึงร้อยละ 30 จะเรียกว่าเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society)” โดยในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ปัจจุบันมีประชากรสูงวัยถึงร้อยละ 40 ส่วนประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พบว่า มีเพียงลาวกับฟิลิปปินส์ที่ยังมีเด็กเกิดใหม่จำนวนมาก ในขณะที่สิงคโปร์กับไทยมีประชากรเกิดน้อยไม่ต่างกัน
“กำลังแรงงานที่จะส่งไปสู่การสร้างเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นเรื่องที่ต้องกังวล (Concern) การวางแผนสำหรับคนที่จะเข้าสู่วัยแรงงาน รวมไปถึงการดูแลผู้สูงวัยที่เอาเข้าจริงแล้วอายุ 60 ในปัจจุบันที่เรากำหนดเป็นเกษียณอายุ ถามจริงๆ ท่านว่าแก่หรือยัง? ไม่แก่! ท่านไปดูสิ 60 สมัยนี้แต่ถ้าจะพูดว่าเตะปี๊บดังเด็กก็จะไม่เข้าใจว่าไปเตะมันทำไมแต่เรื่องใหญ่คือเขาพูดว่า 40 คือ 20 อีกครั้ง (Forty is a new Twenty) ท่าน 60 เท่ากับท่านเพิ่ง 40 แล้วคำถามที่สำคัญคือมันมีงานวิจัยตัวหนึ่ง ถัวเฉลี่ยคนจะอายุไปแตะที่ 100 ปีแน่ๆ
อันนี้เป็นงานวิจัยจาก London Business School แล้วในขณะที่เราไป 100 ปีแล้ว เราคิดว่ามันยาวนาน ถัวเฉลี่ยของญี่ปุ่น เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาคือ 120 ของเราไปแตะประมาณ 100 แน่ๆ ท่านใดที่อายุ 50 แล้วสุขภาพแข็งแรง ขอเรียนว่าท่านจะไปแตะที่ 90 ประเด็นคือเราเรียนหนังสือจบสักอายุ 20 กว่าๆ เมื่อก่อนไปทำงานอีกสัก 40 ปี อายุ 60 ก็เลิกแล้ว คำถามคือถ้าปัจจุบันเลิกที่ 60 ปีแล้วไปตายที่ 100 ปี แล้วอีก 40 ปีทำอะไร” อาจารย์พิภพ ระบุ
ผลข้างเคียงของการที่คนอายุยืนขึ้นคือ “ช่องว่างระหว่างวัย” อาจารย์พิภพ อธิบายประเด็นนี้ว่า “ในสังคมจะมีผู้คนที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมของยุคสมัยที่แตกต่างกัน” ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี อาทิ เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (2484-2488) สิ้นสุดใหม่ๆจากนั้นจึงมีเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ (Generation X) และเจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) เกิดตามมา โดยในช่วงนี้จะแบ่งเจเนอเรชั่นใหม่ทุกๆ 20 ปี
ปัจจุบันประชากรเจเนอเรชั่นวาย หรือคนที่เกิดช่วงปลายศตวรรษที่ 20 (ก่อนปี 2543 ไม่นานนัก) เริ่มกลายเป็นประชากรวัยทำงาน คนเหล่านี้มีวิธีคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์หรือเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ “คนเจเนอเรชั่นวายมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างงานกับชีวิตด้านอื่นๆ” ในขณะที่ประชากร 2 รุ่นก่อนหน้า มีค่านิยมเน้นการทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ
“ถ้าเจน.เอ็กซ์งานกับครอบครัวมาเจอกัน งานมาก่อนครอบครัวรอไป เจน.วายไม่เอางาน ครอบครัวมาก่อน วิธีคิดต่างกันคนละเรื่อง แล้วตอนนี้เริ่มเข้าไปในที่ทำงานสร้างความปวดหัวมากเพราะไม่เอากฎกติกาใดๆ เมื่อคืนทำงานดึกจนเสร็จทำไมวันนี้ต้องมาเข้างานแต่เช้า ไม่มีเหตุผล ก็งานเสร็จแล้ว ทำไมต้องแต่งตัวแบบนี้ ทำไม ทำไม ทำไม แล้วก็เกิดไม่ใช่แค่ช่องว่าง (Gap) แต่คือมันชนกัน (Crash) เพราะความคิดความอ่านต่างกันคนละเรื่อง
แล้วท่านคิดว่าเจน.วายปวดหัวแล้วโปรดรอเจน.ซีหรือเจน.แซด (Generation Z) จะยิ่งกว่าเจน.วาย เจน.ซีคือพวกที่กำลังเรียนในมัธยมต่อมหา’ลัย กลุ่มนี้จะเกิดมาพร้อมกับความรู้ด้านดิจิทัล (Digital Literacy) วิธีคิด การเรียน การสื่อสาร การทำงาน การใช้ชีวิต (Lifestyle) ไปดิจิทัลหมด คิดกันคนละแบบกับเรา ฉะนั้นเจน.วายกับเจน.ซีจะคล้ายกัน” อาจารย์พิภพ กล่าว
นักวิชาการผู้นี้ยังชวนคิดต่อไปถึงประชากรที่เพิ่งเริ่มลืมตาดูโลกในปัจจุบันและกำลังจะมาเกิดในอนาคต หรือ “เจเนอเรชั่นอัลฟา-เบต้า (Generation Alpha-Beta)”ซึ่งวิธีคิดก็จะยิ่งแตกต่างจากมนุษย์ ณ วันนี้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือในองค์กรหนึ่งจะประกอบด้วยคนหลายวัย แต่การมีช่องว่างระหว่างวัยย่อมนำมาซึ่งปัญหามากพอสมควร
นอกจากนี้ยังพบว่า “การเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เนตก็ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย” อาทิ มีการสำรวจพบว่า ผู้คนร้อยละ 75 ตื่นนอนมาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งแรก และไม่อยู่กับอินเตอร์เนตได้นานที่สุดเพียง 90 นาทีเท่านั้น และในอนาคตมนุษย์จะยิ่งผูกติดกับสิ่งของเครื่องใช้ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตแทบทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
“แต่ที่สำคัญอันหนึ่ง ยิ่งเรามีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มากเท่าไหร่ เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ Social Media มากขึ้นเท่าไหร่ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Interaction) ยิ่งลดลงมากเท่านั้น อันนี้เป็นการศึกษาที่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพื่อนอัดแน่นรออยู่หน้าประตูบอกให้รอก่อนฉันกำลังเพิ่มเพื่อนทางเฟซบุ๊ค (Facebook) อยู่ เพื่อนตัวเป็นๆ ไม่เอา ไปเที่ยวกับครอบครัว(Family Trip) ด้วยกัน ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ต่างคนต่างเชื่อมต่อ (Connect) กับคนอื่นที่อยู่ไกล คนใกล้ไม่สนใจ” อาจารย์พิภพ กล่าวถึงผลกระทบจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์
จากผลข้างต้น นำไปสู่กระแส “ลดการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ลงบ้าง” ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น บางสถานที่มีการติดป้ายเชิงเสียดสีว่า “พื้นที่ปลอดอินเตอร์เนตไร้สาย (No Free Wi-Fi)” จากที่ปกติหลายคนมักจะนิยมขอรหัสอินเตอร์เนตไร้สายมาใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของตน “หวังให้ผู้คนกลับมาใส่ใจพูดคุยกับคนรอบข้างในโลกจริง” แม้ในอีกมุมหนึ่งสื่อสังคมออนไลน์จะทำให้ผู้คนเชื่อมต่อกับบุคคลที่ตนเองสนใจได้มากขึ้นก็ตาม!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี