เมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์นี้ ผมเผอิญอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยไปร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารองค์กร ASEAN Parliamentarians for HumanRights-APHR (สมาชิกรัฐสภาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน) ซึ่งระหว่างนั้น มาเลเซียก็ได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองอย่างครึกโครม เมื่อจู่ๆ ก็มีข่าวว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีจะลาออกจากตำแหน่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกันมาก่อน
ก็พอจะกล่าวได้ว่า ผมเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะระหว่างนั้น นอกเหนือจากการติดตามข่าวจากสื่อต่างๆ ผมยังได้รับฟังความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์โดยตรงจากเพื่อนผู้แทนราษฎรมาเลเซียอีกด้วย โดยหลังจากนั้นแล้ว ก็ยังติดตามข่าวนี้มาโดยตลอด
ความคลี่คลายของเหตุการณ์ก็ได้ออกมาในวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมาเลเซียได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ นายมูห์ยิดดิน ยัสซินนับเป็นคนที่ 8 ของมาเลเซีย ตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเจ้าอาณานิคมเมื่อ 60 ปีมาแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียแกนนำพรรคสามัคคีชนพื้นเมืองมาเลเซีย (Malaysian United Indigenous Party) ร่วมกับ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด
ก็ขอเท้าความว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดของมาเลเซีย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 พรรคนี้ได้ร่วมกับพรรคพันธมิตรกุมชัยชนะ และเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลผสม และเลือกให้ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง (หลังจากวางมือทางการเมืองไปแล้วก่อนหน้า) โดยมี นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี
โดยพันธมิตรของพรรคสามัคคีชนพื้นเมืองมาเลเซีย ก็คือพรรคความยุติธรรมปวงชน (พีเคอาร์)นำโดย นายอันวาร์ อิบราฮิม (อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลังของรัฐบาล ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัดยุคแรกๆ จากพรรคอัมโน) และพรรคแนวหน้าประชาธิปไตย (Democratic Action Party-DAP) นำโดย นายลิม กวนเอ็งซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของรัฐบาล ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ชุดล่าสุดนี้
การนี้เท่ากับว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด สามารถโค่นล้มพรรค UMNO (อัมโน) ที่ตนเองเคยสังกัด และเป็นพรรคใหญ่สุด และเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้ชื่อ บาริซัน (Barisan National) ได้ด้วยการร่วมมือกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม และนายลิม กวนเอ็ง ดังกล่าว
ความเดิมนั้นมีอยู่ว่าสมัยที่ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นผู้นำพรรคอัมโน และนายกรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลบาริซัน ได้เกิดแตกคอกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม ด้วยว่าความต่างในเรื่องนโยบายบริหารราชการโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และความหวาดระแวงว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม จะขึ้นมาวัดรอยเท้าตน ซึ่งจบลงที่นายอันวาร์ ถูกดำเนินคดี และถูกจำคุกในข้อหารักร่วมเพศ
หลังจาก ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด วางมือ และพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคอัมโน และนายกรัฐมนตรีไปแล้วก็มักออกสื่อ ทำการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในเชิงเห็นต่าง บ่อยครั้งก็เป็นเชิงลบ ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีคนต่อๆ มาทั้งหมด ก็ต่างเคยเป็นลูกน้องตนทั้งนั้น โดยมักโจมตีว่าไม่บำรุงรักษาผลงานการสร้างชาติที่ได้ร่วมกันกระทำไว้ และต่างมากด้วยผลประโยชน์ และการบริหารราชการที่ขาดธรรมาภิบาล และเพียบด้วยข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะภายใต้การนำพาของ นายนาจิบ ราซัค ซึ่งก็เป็นการเติมเชื้อไฟให้กับการเมืองมาเลเซียมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว อุณหภูมิการเมืองมาเลเซียก็ถึงจุดเดือด ประชาชนพลเมืองมาเลเซียทนต่อไปอีกไม่ไหว รวมตัวกันออกมาเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรมภายใต้ชื่อ Bersih Malaysia (มาเลเซีย “ใสสะอาด”) ซึ่ง ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็ออกมาร่วมการเรียกร้องครั้งนี้ด้วย และโดยต่อมาได้ตั้งพรรคการเมืองดังกล่าวขึ้นมา สู้ศึกการเลือกตั้งครั้งล่าสุด และได้ประกาศเป็นแนวร่วมกับพรรคของ นายอันวาร์ อิบราฮิม (ซึ่งขณะนั้นยังถูกคุมขังอยู่ในคุก) จนได้รับชัยชนะดังกล่าว
เมื่อ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด จัดตั้งรัฐบาล และก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ก็ได้ประกาศคำมั่นสัญญาต่อประชาชนพลเมืองไว้ว่า
1.จะชำระล้างการทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจโดยมิชอบ
2.จะเสริมสร้างสังคมที่เป็นธรรม ไม่แบ่งแยกทางเชื้อชาติอีกต่อไป
3.จะอยู่ในตำแหน่งแค่ 2 ปี แล้วจะเปิดทางให้ นายอันวาร์ อิบราฮิม ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ (ถือเป็นการลบล้างความบาดหมาง และบาปกรรมที่ทำไว้ โดยเฉพาะการตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ จนนายอันวาร์ต้องติดคุก)
แต่เอาเข้าจริงแล้ว ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ดร.มหาเธร์โมฮัมหมัด ก็มิได้ดูจริงจังกับเรื่องการชำระล้างสังคมการเมืองมาเลเซียให้เป็นที่ประจักษ์ และมีทีท่าอิดออดในการส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ นายอันวาร์ อิบราฮิม ตามสัญญา นอกจากนั้นยังหันเหไปสร้างความสนิทชิดเชื้อกับลูกน้องเก่าจากพรรคอัมโน และมีทีท่าว่าจะปูทางให้ลูกชายคนหนึ่งของตนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตอันใกล้อีกด้วย
ก็เลยเกิดข่าวลือในวงการเมืองมาเลเซียขึ้น 2 ข่าวก็คือ
1.ข่าว ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด จะสลับพรรคร่วมรัฐบาล คือโละพรรค DAP และพรรคของนายอันวาร์อิบราฮิม ทิ้ง แล้วดึงเอากลุ่มพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอัมโน และพรรคปาส (พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย) มาเป็นฐานแทน
2.ส่วนข่าวลืออันที่ 2 คือลูกพรรคของ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นำโดย นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน จะตีจาก หาก ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ไม่ยอมอยู่ในตำแหน่งไปจนกว่าจะครบเทอม เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้นายอันวาร์ อิบราฮิมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ในที่สุด ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็ตัดสินใจผ่าทางตันทำการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปดื้อๆ นั่นก็คงเพราะตระหนักได้แล้วว่า ถ้าทำตามสัญญากับนายอันวาร์ อิบราฮิม ตนเองก็จะไม่เหลือลูกพรรคอีกต่อไป และหากรักษาคำมั่นสัญญากับสังคมเรื่องนายอันวาร์ อิบราฮิม ไม่ได้ตนเองก็เป็นนายกฯ ต่อไปไม่ได้เช่นกัน
ผลก็คือ นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ก้าวขึ้นมายึดอำนาจพรรคสามัคคีชนพื้นเมืองมาเลเซีย ได้อย่างเบ็ดเสร็จและสามารถกำจัดนายอันวาร์ ออกไปจากแนวร่วมรัฐบาลและโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหันไปจับมือกับพรรคอัมโน และพรรคปาส เพื่อตั้งรัฐบาลใหม่
ทั้งหมดนี้ก็เลยให้ภาพรวมที่ว่า แนวโน้มการเมืองมาเลเซียจะหันกลับไปสู่อีหรอบเดิม คือการเมืองผลประโยชน์ และการตั้งเข็มทิศหนักไปทางด้านเรื่องชาติพันธุ์ (มลายู) นิยม และศาสนา (อิสลาม) นิยม ซึ่งเป็นการปล่อยเกาะ และกดขี่ชนชาติพันธุ์อื่นๆ (อินเดีย และจีน) ในประเทศ ทำให้สังคมมาเลเซียจะมิใช่สังคมเสรีประชาธิปไตยของผู้คนพลเมืองที่หลากหลาย แต่ทัดเทียมกัน เป็นการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยเอาเรื่องอัตลักษณ์ (Identity Politics) เป็นตัวนำพา
ในกรณีความวุ่นวายทางการเมืองมาเลเซียครั้งนี้นายอันวาร์ อิบราฮิม เป็นผู้ถูกหักหลัง ในขณะที่ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้กลายเป็นผู้เสียสัตย์ และนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ไร้หลักการใดๆ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นการผิดสัญญาประชาคม ซึ่งปฏิกิริยาก็คงจะต้องเกิดขึ้น การเมืองมาเลเซียก็จะยุ่งเหยิงไปอีก เพราะคนไม่กี่คนที่ไร้สัจจะ
อย่างไรก็ดี การเมืองนั้นต้องดูกันยาวๆ ก็คงต้องรอผลการเลือกตั้งใหญ่ของมาเลเซียในอีกเกือบ2 ปีข้างหน้า ว่าจะเป็นอย่างไร จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า ยังมีชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูอีกมากมาย ที่มีหัวใจเสรีนิยม และเป็นนักประชาธิปไตย ซึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายชาติพันธุ์นิยม ที่สร้างความแตกแยกให้สังคมมาเลเซียมาช้านาน (ของฝ่ายอัมโน และปาส) ในระหว่างความวุ่นวายครั้งนี้ เขาอาจไม่สามารถออกมาทำอะไรได้มาก นอกจากได้แต่เงียบและดูนักการเมืองหักหลังกัน แต่เมื่อถึงเวลาแสดงพลังในการเลือกตั้ง เขาก็อาจจะเป็นพลังเงียบที่ผุดขึ้นมาสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับสังคมมาเลเซียก็เป็นได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี