สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอเล่าถึงการประชุมรายงานผลการศึกษา “การศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนเพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” ซึ่งมีเจ้าภาพหลักในการจัดงานคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีทั้งหมด7 หัวข้อ ได้แก่ 1.การศึกษางบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อการพัฒนาเด็กในช่วง 0-3 ปี ในประเทศไทย 2.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างครอบครัวประเภทต่างๆ บทบาทของพ่อและแม่กับการดูแลทางสาธารณสุขและพัฒนาการของเด็กช่วงอายุปฐมวัยในประเทศไทย
3.ความสุขของเด็กไทยในวัยเรียน : เด็กประถมศึกษา (6-12 ปี) 4.การกวดวิชาในบริบทของระบบการศึกษาไทยณ ศตวรรษที่ 21 5.การศึกษาการเล่นเกมของเด็กไทย 6.การพัฒนาความฉลาดรู้ด้านสะเต็ม (STEM) ศึกษาของเด็กไทยเพื่อให้ก้าวไกลทันยุค 4.0 และ 7.การพัฒนาองค์ความรู้และขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม และเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในกิจกรรมการสะสมทุนมนุษย์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้เข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเหมาะสม
ด้วยพื้นที่ฉบับพิมพ์มีจำกัดจึงขอยกเพียงบางหัวข้อมากล่าวถึง อาทิ “การศึกษางบประมาณรายจ่ายภาครัฐเพื่อการพัฒนาเด็กในช่วง 0-3 ปี ในประเทศไทย” ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อันเป็นครั้งแรกที่บรรจุเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัยไว้ด้วย โดยผู้วิจัยคือ รศ.ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ เปิดเผยว่า หากเทียบกันในปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา งบประมาณของรัฐที่จัดสรรไว้สำหรับเด็กอายุ 0-3 ปี อยู่ที่ 58,508 ล้านบาท หรือคิดเป็นรายหัวอยู่ที่ 22,806 บาทต่อคนต่อปี
ในขณะที่งบประมาณของช่วงเวลาเดียวกันที่รัฐจัดสรรไว้สำหรับเด็กและเยาวชนอายุ 3-17 ปี จะอยู่ที่ 405,174 ล้านบาท หรือคิดเป็นรายหัวอยู่ที่ 34,837 บาทต่อคนต่อปี หรือสูงกว่างบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับเด็กอายุ 0.3 ปี ราว 1.5 เท่า จึงเห็นว่า “การลงทุนในเด็กอายุ 0-3 ปีโดยภาครัฐของไทยยังน้อย ทั้งที่การลงทุนในเด็กวัยนี้ให้ผลตอบแทนสูงสุดกว่าการลงทุนในประชากรวัยอื่นๆ” ซึ่งมีข้อเสนอดังนี้
1.ขยายสิทธิการฝากครรภ์ของมารดาภายใต้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า จากเดิมที่เป็นสิทธิตามทะเบียนบ้าน ให้ขยายสิทธิในการฝากครรภ์นอกพื้นที่ทะเบียนบ้านได้ 2.โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กทารกแรกเกิดแบบมีเงื่อนไขที่ผูกกับการประเมินพัฒนาการเด็กตามช่วงวัยและโภชนาการ เพื่อแก้ปัญหาเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งควรได้รับการคัดกรองพัฒนาการอย่างท่วงที 3.โครงการอาหารเช้าของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กได้รับประทานอาหารปลอดภัยและมีสารอาหารเพียงพอซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง
4.สนับสนุนให้มีนักโภชนาการในระดับท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนให้เด็กได้รับอาหารที่มีคุณภาพและมีระดับโภชนาการที่เพียงพอ 5.เพิ่มทางเลือกในการเลี้ยงดูเด็กเล็กในช่วงอายุ 1-2 ปี เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเลี้ยงดูในช่วงก่อนเข้าเรียนในระดับอนุบาลให้กับพ่อแม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดความพร้อม เช่น พ่อแม่วัยใส หรือกลุ่มแรงงานนอกภาคทางการ และ 6.โครงการรณรงค์การลดปริมาณการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเกินความจำเป็น และรณรงค์การกำจัดขยะผ้าอ้อมให้ถูกสุขอนามัย เพื่อช่วยให้มีการสุขาภิบาลที่เพียงพอ
“การพัฒนาศักยภาพของเยาวชนที่หลุดไปจากระบบการศึกษา” เป็นอีกหัวข้อที่มีความสำคัญแต่อาจไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนักเมื่อเทียบกับเยาวชนที่ยังอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ผศ.ดร.รัตติยาภูลออ รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาองค์ความรู้และขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรมและเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในกิจกรรมการสะสมทุนมนุษย์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้เข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเหมาะสม” กล่าวว่า
จากการศึกษาเยาวชนกลุ่มเป้าหมายในช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปี ที่เป็นตัวแทนของประชากรไทยในปี 2562 พบว่าการที่เยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม มีผลมาจากปัจจัยระดับจุลภาค ได้แก่ ครอบครัว สภาพแวดล้อมในครอบครัวประสบการณ์ตรงที่บุคคลได้มีปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้าในปัจจุบันกับเพื่อน เพื่อนในโรงเรียน เพื่อนในที่ทำงาน และสมาชิกในครอบครัว และก่อให้เกิดปัจจัยในระบบปฏิสัมพันธ์ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการของบุคคล
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นของเป้าหมายในการพัฒนาทักษะชีวิต พบว่ากลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม มีระดับการพัฒนา
ทักษะชีวิตต่ำกว่าเยาวชนอื่นๆ ในทุกด้าน รวมไปถึงมีมุมมองและแนวคิดในการทำงานหรือการเรียนที่แตกต่างไป นอกจากนี้พบว่าปัจจัยในระบบมหภาคไม่เอื้อให้เยาวชนกลับมาในระบบการศึกษาหรือตลาดแรงงาน” ผศ.ดร.รัตติยา ระบุ
ผศ.ดร.รัตติยาให้ข้อเสนอแนะไว้ 1.สร้างแรงจูงใจในการสร้างเป้าหมายให้กับชีวิตและแนวทางการเข้าสู่เป้าหมายที่เหมาะสม โดยเริ่มสร้างแรงจูงใจในการสร้างเป้าหมายในช่วงอายุน้อย ควรกระตุ้นสร้างแรงจูงใจผ่านรูปแบบการให้คำแนะนำ (Coaching) เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 2.สร้างความเข้าใจและสร้างโอกาสในการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เน้นกิจกรรมทางสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชุมชนร่วมด้วย
3.สร้างและพัฒนาระบบที่ขยายโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น การจัดตั้งหน่วยงานกลางที่เป็นลักษณะรับรองการสะสมวุฒิความรู้ (Credit Bank) ของแต่ละบุคคลที่เป็นรูปธรรม เพื่อการเทียบโอนมาตรฐานฝีมือแรงงานสู่คุณวุฒิการศึกษาวิชาชีพ และ 4.พัฒนาต้นแบบการช่วยเหลือในระดับพื้นที่โดยใช้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับผู้นำชุมชนและคำนึงถึงความยั่งยืน
ด้าน ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยทั้ง 7 หัวข้อข้างต้น กล่าวสรุปว่า จากผลวิจัยชัดเจนมากว่า เงินในการลงทุนกับเด็กปฐมวัยของไทยยังน้อยเกินไป และความสุขเด็กไทยในวัยเรียนเหลือน้อย จึงทำให้วัยรุ่นมีปัญหาสุขภาพทางจิตมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมความเครียดตั้งแต่วัยเด็ก จากโครงสร้างครอบครัวที่มีความแตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำของคุณภาพสถานศึกษาการแข่งขันในระบบการศึกษา เด็กแถวหลังที่ถูกละเลยจนเกิดเป็นกลุ่มที่ไม่เรียนและไม่ทำงาน
ปรากฏการณ์เหล่านี้พบทั้งเด็กจากครอบครัวฐานะดีและครอบครัวที่ยากไร้ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม จะต้องหารือกันเพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่เด็กไทยต้องเผชิญหน้าอยู่!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี