วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระจายความรุนแรงไปทั่วโลก สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในวงกว้างทั้งด้านสุขอนามัย และความหวาดระแวงซึ่งกันและกันแต่ในวิกฤติมีโอกาส และในโอกาสย่อมมีวิกฤติเช่นกันโควิด-19 ได้ช่วยสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลอย่างไม่ตั้งใจหลังการเขย่าเกมภายในสภาด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาจนถึงเกมนอกสภาที่เริ่มมีการชุมนุมของเหล่านิสิต นักศึกษา ที่ออกมาแสดงพลังเพื่อต่อต้านรัฐบาล แต่เมื่อมีวิกฤติโควิด-19 เข้ามาก็ทำให้ การจัดการการชุมนุมเป็นไปอย่างยากลำบากจนสลายตัวไปในที่สุด ตลอดจนความสนใจของประชาชนก็มุ่งไปที่เรื่องโควิด-19เป็นหลัก หรือกระทั่งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเองที่โจมตีปัญหาเรื่องความสามารถในการบริหารงานเมื่อเจอวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งโลก ฝ่ายการเมืองต้องถอยเพื่อหลีกทางให้เข้าไปแก้ปัญหาเพื่อประชาชนก่อนจึงทำให้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองสงบลงชั่วขณะ พอให้รัฐบาลได้หายใจหายคอแค่เฉพาะในส่วนเกมการเมือง
ในทางตรงกันข้ามวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นก็เป็นกระบวนการทำลายรัฐบาลด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนี้คือเรื่องความมั่นคงและเรื่องความเด็ดขาดในการบริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤติ แต่ในกรณีโควิด-19 กลับทำให้ประชาชนมองนายกฯประยุทธ์ ในท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล คสช. เพราะความเด็ดขาดในการบริหารจัดการปัญหาได้ไม่ดีเท่า หรือทันท่วงทีเหมือนแต่ก่อน แต่กลับมีทีท่าที่ประนีประนอมมากขึ้นทางการเมือง และปล่อยให้รัฐมนตรีพรรคร่วม ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ มหาดไทย การท่องเที่ยวฯ และการต่างประเทศ จัดการ โดยดูจะไม่ได้มีนโยบายในการกำกับดูแลรวมศูนย์อย่างจริงจัง มองในมุมการเมืองเรื่องนี้ก็เป็นการกระจายอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ได้ทำเต็มที่
แต่กลับขัดกับความคาดหวังหรือความเคยชินของประชาชนที่มองพลเอกประยุทธ์หรือที่คาดหวังว่าพลเอกประยุทธ์จะมีการออกคำสั่งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เช่น กรณีการกลับเข้าประเทศของบรรดาแรงงานหรือที่สื่อเรียกว่า ผีน้อย การบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขที่ตอนแรกเมื่อมีกระแสผีน้อยกลับเข้าไทยก็ออกมาตรการให้ลงทะเบียนและกักกันตัวเองอยู่ที่บ้านเพื่อควบคุมการแพร่กระจาย แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่ยอมกักตัวเกิดขึ้นจนต้องออกมาประกาศเปิดฐานทัพเรือเพื่อกักตัวดูอาการก่อนปล่อยกลับบ้าน ซึ่งอาจถูกวิจารณ์ว่าวัวหายล้อมคอกหรือไม่? เพราะถ้าไม่มีกระแสในสังคมออนไลน์ที่ออกมาเรียกร้องให้ใช้มาตรการในการจัดการก็จะไม่มีการดำเนินการใช่หรือไม่?
นอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กระทรวงที่อาจถูกมองว่ามีปัญหาไม่แพ้กันคือกระทรวงพาณิชย์ที่ออกมาให้ข่าวเรื่องหน้ากากอนามัยว่าไม่ขาดตลาด ไม่มีการขายเกินราคา และไม่มีการกักตุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของประชาชนหรือไม่? เพราะชาวบ้านร้านตลาดต่างก็ประสบปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน ขนาดมีคนออกมาพูดว่ามีเงินก็หาซื้อไม่ได้? ยังไม่นับรวมไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นต้องใช้ก็ยังออกมาวิพากวิจารณ์ว่าไม่เพียงพอ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ก็ถูกมองว่าการตอบสื่อแต่ละครั้งเป็นการตอบคำถามแบบราชการไม่ได้คำนึงถึงปัญหา หรือผลกระทบประชาชน ซึ่งส่วนนี้ต้องเข้าใจว่า ความรู้สึกและอารมณ์ของประชาชนตอนนี้เป็นอย่างไรด้วย
สิ่งที่ดูเป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้กันก็คือ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะรายได้จากด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาลดลง ถึงแม้ทางกระทรวงการต่างประเทศจะไม่ได้ออกมาสั่งกักตัวหรือมีมาตรการในการห้ามคนจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าประเทศ แต่ภาคการท่องเที่ยวก็ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ถึงจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทยที่ลดลงอย่างมีนัย จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร บริการขนส่งสาธารณะ ธุรกิจการบิน ตลอดจนแรงงานในภาคบริการที่จะได้รับผลกระทบในระยะยาว ที่แม้จะออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการจับจ่ายภายในประเทศ อย่างตอนแรกที่จะมีนโยบายเงินอุดหนุนหัวละ 2,000 บาท ก็อาจไม่ได้ส่งผลต่อการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจหรือไม่?จนต้องถอยไปในที่สุด
นอกจากนั้นยังมีผลกระทบมาถึงภาคอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อรัฐบาลในมาตรการการควบคุมโควิด-19 ให้อยู่ในระดับ 2 ได้หรือไม่? การลงทุนของนักลงทุนทุกระดับต้องชะลอตัวลง หรือรายได้ชุมชนที่ลดลงจากการยกเลิกการจัดงาน หรือเศรษฐกิจภาคชุมชนที่ลดลงจาการที่ประชาชนลดการออกจากที่พัก การจับจ่ายใช้สอยในชุมชนจึงต้องลดลงด้วย ตัวอย่างการยกเลิกงานกีฬาในหลายจังหวัดทำให้เงินที่ควรสะพัดในร้านค้าชุมชนก็หยุดชะงักไปด้วย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้มือเศรษฐกิจเก่งๆ ยังต้องปาดเหงื่อเพราะผลกระทบที่เกิดจะไม่ใช่เพียงชั่วคราวและผ่านไป แต่จะเป็นผลกระทบที่อาจส่งผลต่อในระยะยาวที่พ่วงไปด้วยปัจจัยเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากไปจนถึงภายนอกประเทศ เพราะฉะนั้นมาตรการที่ออกมาต้องคำนึงให้ถึงคนทั้งระบบเศรษฐกิจ และต้องมองปัจจัยแบบไม่พึ่งพึงปัจจัยจากต่างประเทศมากนักโดยเฉพาะในช่วงเวลา 3-6 เดือนหลังจากนี้
สิ่งใดก็รุนแรงไม่เท่ากับ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล ในสภาวะวิกฤติแบบนี้หากพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจลงมากุมบังเหียนเองเกมจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ได้? เพราะความคาดหวังของประชาชนต่อความเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ที่เป็นที่พึ่งประชาชนมาโดยตลอด หรือกรณีการติดตามข่าวสารความคืบหน้าการควบคุมโรคของรัฐบาลจีนที่มาตรการเข้มข้นเด็ดขาดตั้งแต่การปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรค เพราะผลลัพท์คือความชัดเจนในการยอมรับถึงปัญหา และมุ่งเป้าในการแก้ไขอย่างตรงจุด จะเห็นได้ว่าตัวเลขการติดต่อ สูญเสียลดลงอย่างเห็นได้ชัด มากกว่ามาตรการในการประณีประนอมหรือให้แต่ละคนพิจารณากักตัวเอง ซึ่งดูจะเป็นมาตรการที่เสรี แต่ก็แลกมาด้วยความเชื่อมั่นของคนหมู่มากต่อความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ
หากมีการประกาศแผนมาตรการรองรับความเสี่ยงในระดับต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้น เกณฑ์หรือหลักในการปฏิบัติ วิธีการดูแลตัวเอง ตลอดจนการประกาศแผนการปิดเมืองที่มีความเสี่ยงแม้จะไม่ได้ให้ออกมาประกาศตอนนี้เพราะจะอาจทำให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่การประกาศแผนล่วงหน้าคือการสร้างความอุ่นใจและแนวทางในการเตรียมรับมือของประชาชนแบบมีเป้าหมาย จะทำให้ความสับสนวุ่นวายของประชาชนลดน้อยลง และทำให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างถูกต้องด้วย เช่น หากมีการปิดเมืองจริงๆ จะปิดกี่วัน ต้องมีการกักตุนอาหารอย่างไร และต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหากความรุนแรงของเชื้อโควิด-19 ในไทยเข้าสู่ระดับที่ 3 ดีกว่าให้ประชาชนร้อนใจและดำเนินการคิดเองทำเองตอนนี้จนเกิดความวุ่นวายสินค้าหลายอย่างขาดตลาด จะได้สร้างความมั่นใจของประชาชนต่อรัฐบาลที่มากขึ้น
รัฐบาลเองมีแต้มต่อมากเพราะในเรื่องระบบสาธารณสุข และการป้องกันโรคระบาดประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีจัดอยู่ในเกณฑ์ที่สูงอยู่แล้ว และถือว่ามีบุคลากรทางการแพทย์ในระดับชั้นนำของโลก จึงทำให้การรับมือต่อโควิคดำเนินการควบคุมได้ดี แต่ที่สำคัญคือการสร้างองค์ความรู้และทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนและให้ภาครัฐสามารถบริหารจัดการ และประคับประคองสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยดีสิ่งสำคัญคือความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของประชาชนที่ต้องการผู้นำที่หนักแน่น และชี้ทางที่ชัดเจน เชื่อได้ว่าประชาชนพร้อมจะทำตาม
เมื่อนายกฯตัดสินใจตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาโควิด-19 แล้วก็ควรใช้ศักยภาพของศูนย์ให้เต็มที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน ในอดีตอย่างตอนน้ำท่วมปี 2554 รัฐบาลถูกมองว่าการบริหารจัดการแบบไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีทิศทาง และปล่อยให้ประชาชนจัดการตัวเองจนถึงวันที่สายเกิดไปจึงค่อยออกมาตรการ สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ประชาชน และรัฐบาลมากเพียงใด จนสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องลงมาทำอย่างจริงจังแต่ก็กระทบความรู้สึกประชาชนไปแล้ว จึงไม่อยากให้กรณีวิกฤติโควิด-19 นี้พาไปสู่จุดนั้น
“ไม่ว่าเป็นวิกาลเหน็บหนาวยาวนานปานใด ต้องมีเวลาฟ้าสางสว่าง”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องมังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี