ความตื่นตระหนกจนยากจะครองสติ เริ่มเกิดขึ้นมากในหมู่ประชาชน ที่วันๆ รับแต่ข่าวสารว่า “ผีน้อย” ไปอยู่ตรงนั้น ไอ้คนติดเชื้อโควิด-19 ไปเที่ยวตรงนี้ ตอนนี้ติดเพิ่มขึ้นมาอีก 10 กว่าคนแล้วละ เฮ้ย!! ดูสิ ดาราก็ติดว่ะ อู๊ยยย...ยัยหนูเล็กร้องไห้ กลัวติด กลัวตาย กลัวว่าไม่มีใครจะดูแลลูก
ข่าวที่ไหลไปหาผู้คน มิใช่ข่าวในเชิงความรู้เพื่อการปฏิบัติตัว และความเข้าใจเพื่อการรู้ทันโรคไม่ มีแต่ข่าวเจ็บเพิ่มตายเพิ่มทั้งในและนอกประเทศ แถมเอา ผีน้อย” มาหลอกตัวเอง/หลอกกันเอง ให้หลอนไปทั่วทุกหัวระแหง
บุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขก็เป็น “หนังหน้าไฟ”ไปสิ งานก็ทำหามรุ่งหามค่ำ ข่าวก็ต้องแถลง แถลงแล้วไม่มี“ระดับผู้บริหารประเทศ” ตั้งหน่วยงานขึ้นมาส่งเสริม ช่วยผลิตช่วยขยาย ช่วยกระจาย ไปสู่ผู้คนเลย (ไม่รู้โง่หรือใจดำ) หนำซ้ำ ยังต้องมาคอยแก้ข้อมูลที่รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขชอบเอาไปปูด เอาไปพูด แล้วผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้งอีก น่าเห็นใจจริงๆ
เรามาดูกันครับว่า นอกเหนือจากบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ยืนประจันหน้ากับ “โควิด-19” อย่างทะนงองอาจแล้ว ฝ่ายอื่นๆ คนอื่นๆ เข้ามามีส่วนในพื้นที่แห่งความตื่นตระหนก หวาดกลัว สิ้นหวัง ของประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง
1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลินลาศลงมาจากฟ้าทิ้งภาวะลอยตัวลงมาดูปัญหากับเขาบ้างแล้ว โดยเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกสารจากนายกรัฐมนตรี เรื่อง “สถานการณ์การระบาด COVID-19” เพื่อขอความร่วมมือความรักและสามัคคีจากประชาชนเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคกับผลกระทบหลายด้านจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีเนื้อหาดังนี้
“จากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสปอดอักเสบหรือ COVID-19 และสถานการณ์สำคัญอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาการว่างงาน ปัญหาความเหลื่อมล้ำดังนั้น ในห้วงเวลานี้เราจึงควรที่จะร่วมมือ รักสามัคคีกัน เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ เรื่องมาตรการรองรับการระบาดของ COVID-19 เรามีหลายอย่างที่แตกต่าง ด้วยอัตลักษณ์ ความคิดความอ่าน จำนวนประชากร รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศ ซึ่งคงนำมาเปรียบเทียบกับต่างประเทศไม่ได้มากนักในการทำงานของรัฐบาล และส่วนราชการขณะนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลจำเป็นต้องนำข้อมูลจากต่างประเทศ แนวทางการปฏิบัติที่เป็นสากล และข้อมูลต่างๆ ในประเทศมาพิจารณาร่วมกัน มีองค์ประกอบหลายอย่างหลายมิติที่ต้องช่วยกันแก้ไข ทุ่มเท เสียสละ ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ภาคสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ ต้องขอความกรุณาทุกส่วนช่วยกันหาทางออกให้ประเทศ ด้วยความเข้าใจใคร่ครวญ คิดวิเคราะห์ รับฟังและ เชื่อมั่น เรื่องใดที่เป็นปัญหารัฐบาลก็กำลังดำเนินการแก้ไข
แต่หากยังคงมีการให้ข่าวบิดเบือน ให้ร้าย ป้ายสีกันโดยจับแต่ประเด็นย่อยๆ ในขณะที่ทุกหน่วยส่วนราชการกำลังทำงานใหญ่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนอยู่ ถึงแม้อาจสร้างความลำบากให้กับภาครัฐในการปฏิบัติงานบ้าง แต่แน่นอนยังคงต้องขับเคลื่อนทุกกลไกให้เกิดการประสานสอดคล้องซึ่งกันและกัน รัฐบาลมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย มาตรการลงไป โดยใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง ประกอบกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เผชิญอยู่
ดังนั้น อยากจะขอร้องว่า ถ้าอยากจะสื่อความหรือวิพากษ์วิจารณ์ ก็ขอให้เป็นเรื่องๆ อย่างครบถ้วนทุกมุม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ไม่ใช่เอาแต่มองว่าล้มเหลวไปเสียทั้งหมด หรือรัฐบาลไม่มีความสามารถบ้าง ทุกคนควรต้องพิจารณาไตร่ตรองดูว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร เปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน ไม่ว่าจะการระบาดของ COVID-19 ภัยแล้ง ปัญหาความยากจน และอื่นๆ หลายประเทศมีการปกครองแตกต่างกัน มีอำนาจตามกฎหมายต่างกัน ประชาชนเชื่อฟังเคารพกฎหมายต่างกัน หลายคนอาจมองว่าเรายังไม่เป็นประชาธิปไตย ขอให้พิจารณาดูว่าวันนี้เรามีประชาธิปไตยเต็มที่แล้วหรือยัง สื่อโซเชียลออกข่าวโดยเสรีหรือไม่ มีใครไปห้าม หรือปิดกั้นหรือไม่ถ้าไม่ผิดกฎหมาย หากเราใช้มาตรการทางสังคมเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ เสนอหนทาง ปฏิบัติที่เหมาะสมที่รัฐบาลสามารถนำมาใช้ได้ ก็จะเป็นประโยชน์”
เอาเท่านี้ล่ะครับ ที่เหลือเป็นเรื่องภัยล้งภัยแล้งอะไรก็บ่นของแกไป!!
ในเวลาที่ประชาชนต้องการความมั่นใจ ต้องการรู้ว่ารัฐบาลเตรียมแผนรองรับการระบาดระดับ 3 ต้องการรู้ว่ารัฐบาลดูแลแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปถึงไหนแล้ว มีหน้ากากให้เขาหรือรึยัง และหลังจากนี้ บุคลากรเหล่านี้ จะมีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเพียงพอที่จะยืนหยัดช่วยชีวิตประชาชนที่อาจเจ็บป่วยพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากได้ใช่ไหม ต้องการได้ความรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า มีมาตรการอะไรไหม ที่นอกจากออกมา “บ่น” มาเป็นคนดี มีแต่คนอื่นที่สร้างปัญหา มีอะไรจะมาบอกประชาชนให้เคลื่อนทัพรับมือ “โควิด-19” ไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงบ้างไหม
ไอ้สิ่งที่ท่านบ่นในแถลงการณ์นี้ ควรบ่นให้เสร็จในห้องประชุมของท่าน แล้วออกมาแถลงถึงมาตรการและนโยบาย เช่น จะบ่นว่าข่าวลือ ข่าวลวงมันเยอะ ก็บ่นกับ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” บ่นกับสามสาวโฆษก จนสาแก่ใจแล้ว ก็ออกมาแถลงเสียเลยว่า เมื่อมีข่าวลือมาก จนสับสน นับจากนี้ขอให้ประชาชนทั้งชาติ รับข้อมูลจาก “......” หน่วยงานไหนเพจใด ช่องทางใด ก็บอกมาสิ ไม่ใช่แค่แวะมาบ่นให้คนรำคาญ, หน้ากากอนามัย ขอให้ใช้หน้ากากผ้าในกลุ่มคนที่ยังแข็งแรงดี ส่วนหน้ากากทางการแพทย์ หน้ากาก N95 ฯลฯใครจะต้องใช้ยังไง หาได้จากแหล่งไหน รัฐบาลพยายามทำอย่างไร รวมถึงแอลกอฮอล์ที่ก็เริ่มขาดตลาด บอกสิครับ ว่าจะให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างไร แถลงการณ์ในเวลาวิกฤติต้องการ “บอก” ให้ปฏิบัติ บอกให้คนมั่นใจ ไม่ใช่ “บ่น” ให้คนหงุดหงิด เอารถไปรับอาจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ให้มาช่วยร่างให้ก็ได้ ถ้ามันอับจนผู้คนที่จะช่วยงานนัก ท่านจะได้ไม่บ่นว่าเชียร์จนท้อใจเหลือหลาย เมื่อวานก็เป็นวันคล้ายวันเกิดท่านด้วย ส่งดอกไม้ไปหรือยัง (ฮา...)
สรุป : นายกฯ มาอย่างเปลืองพื้นที่ข่าวและเปล่าประโยชน์ ไม่ได้มาอย่าง “ผู้นำ/ผู้บัญชาการ ในสถานการณ์วิกฤติ” ฝนจะตก แดดจะออก โรคจะระบาด กูก็จะเป็น “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ของกูอยู่แบบนี้แหละ #เพลีย
2) ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยตำแหน่ง ประกอบด้วย พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม,พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.ลือชัยรุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ทำเรื่องถึงสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อของดการรับเงินเดือน และเงินต่างๆ ในฐานะวุฒิสมาชิก และผู้ช่วยผู้ดำเนินงาน สว.นับตั้งแต่เดือน ก.พ.2563 ไปจนถึงเกษียณราชการวันที่ 30 ก.ย.2563 ที่จะเป็นการสิ้นสุดการทำหน้าที่ สว.โดยตำแหน่ง เนื่องจากไม่อยากให้สังคมมองว่า ผบ.เหล่าทัพ รับเงินเดือนสองทางอีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือสังคมในสภาวะที่ประเทศประสบปัญหาแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทุกอย่างก็แล้วแต่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา จะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใด อันนี้ถือว่ามาดี ขอชื่นชม แม้ควรจะประกาศว่า ไม่รับเงินเดือนสองทางเสียตั้งแต่แรก
3) นายกรณ์ จาติกวณิช ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า มาพร้อมสโลแกน “การประคองเงินหมุน ต่อทุนคนทำงาน ระงับพิษโควิด พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” โดยนายกรณ์กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนและทีมกล้าได้เข้าพบตัวแทนจากกลุ่ม SMEs และวันนี้ได้มาที่ตลาดคลองเตยพบกลุ่มพ่อค้าแม่ขาย และประชาชนที่เป็นแรงงานรับจ้างหาเช้ากินค่ำ เพื่อรับฟังข้อมูล รับเสียงสะท้อนถึงความเดือดร้อน รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่มาซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้โดนกระหน่ำด้วยโควิด-19 รัฐต้องพุ่งเป้าดูแลคนที่เดือดร้อนให้ครบทุกกลุ่ม และต้องเริ่มจากคนที่เจ็บหนักที่สุดทันที โดยเฉพาะ SME รายเล็ก พ่อค้าแม่ขายรายย่อย ธุรกิจท่องเที่ยว กิจการทัวร์ ไกด์นำเที่ยว ร้านอาหาร รถเข็น หาบเร่ ตามสถานที่ท่องเที่ยว ลูกจ้างแรงงานภาคบริการ คนรับจ้างหาเช้ากินค่ำ ช่วงนี้มีความลำบาก เงินสดไม่พอใช้ หนี้ไม่มีจะจ่าย
“มาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลใช้อยู่ในขณะนี้ แม้จะเป็นมาตรการที่ดี แต่เป็นการเน้นตอบโจทย์ได้เพียงกลุ่มคนตัวโต ยังไม่เข้าเป้าคนตัวเล็ก ตอบโจทย์แก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีผลเท่าที่ควรกับพ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อย หลายรายไม่สามารถที่จะรอความช่วยเหลือตามรอบภาษีได้ เราต้องการมาตรการที่ยิงตรงถึงมือทันที จากประสบการณ์ย้อนไปปี 2553 ไทยเราฟื้นจากวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ได้ทันท่วงที เพราะระบบการบริหารจัดการที่เข้าเป้า คือ “การประคองเงินหมุน ต่อทุนคนทำงาน ระงับพิษโควิด พลิกวิกฤติเป็นโอกาส”
ช่วงนี้คือช่วงที่ทุกคนทุกพรรคการเมืองต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และจากประสบการณ์ที่ตนและคณะ อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย จึงขอเป็นตัวแทนที่จะคิดและนำเสนอมาตรการที่เราเชื่อว่า จะสามารถต่อชีวิตให้พวกเขาได้โดยตรงและทันเวลา โดยรัฐบาลต้องพุ่งเป้าตรงไปที่ 4 เรื่องนี้เป็นหลักก่อนเท่านั้น
หลักคิดที่หนึ่ง “ประคองเงินหมุน” เป็นการเติม Cashflow หรือเงินสดในระบบ ห้ามให้ภาคธุรกิจขนาดเล็กหยุดชะงัก เพราะตายแล้วฟื้นยาก ต้องฉีดยาให้ถูกเส้นเพื่อพยุงลมหายใจทางเศรษฐกิจไว้ให้ได้ โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการคือ ผู้ประกอบการ SMEs เน้นที่รายเล็ก รายกลาง ร้านค้ารายย่อย หาบเร่ แผงลอย กลุ่มท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง-โลจิสติกส์และการบิน-ร้านอาหาร-โรงงานที่ขาด Supply Chain-ตลาดชุมชน
มาตรการ “ประคองเงินหมุน” 1) ให้แบงก์รัฐและเอกชนช่วยดอก ปลอดต้น ในวงเงินดอกเบี้ย 30,000 บาทในระยะเวลาเศรษฐกิจชะงักจากโควิด 3 เดือน 2) ให้ออมสินปล่อยกู้โดยตรง แก่กิจการขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ขายที่ร่อแร่ วงเงิน 5 หมื่นบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อเดือนใช้พยุงชีวิตและที่ทางในการทำกินต่อไป
หลักคิดที่สอง “ต่อทุนคนทำงาน” เป็นการช่วยปั๊มหัวใจคนทำงานจากภาวะรายได้ขาดมือ ให้กลับมาหายใจหายคอให้คล่องขึ้น โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการคือ มนุษย์เงินเดือนในกิจการ 5 ประเภทที่กระทบหนักได้แก่ ท่องเที่ยว-ขนส่ง-ร้านอาหาร-โรงงาน-SMEs รวมไปถึงพ่อค้าแม่ขายรายย่อย หาบเร่แผงลอย รับจ้างอิสระ แรงงานขั้นต่ำ แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ ที่ขาดรายได้จากการที่นักท่องเที่ยวไม่มา
โดยมาตรการ “ต่อทุนคนทำงาน” ประกอบด้วย
ก) รัฐจ่ายประกันสังคมแทนทั้งขานายจ้าง และลูกจ้างเป็นเวลา 6 เดือน เงินส่วนนี้จะกลับไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งตรงนี้ต่างจากของรัฐที่ทำไปแล้วแต่ให้แค่ลดอัตราเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ และพนักงานเสียสิทธิในการสมทบที่ลดลง
ข) สำหรับพนักงานบริษัท มนุษย์เงินเดือนให้มีการ ลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลในส่วนของรอบปี 2562 ทันที 20% สรรพากรคำนวณคืนย้อนหลังได้จากระบบ เพิ่มเม็ดเงินให้ระบบมากขึ้นโดยไม่ต้องแจก รัฐบาลหลายพรรคสัญญาเอาไว้นานแล้ว
ค) นำค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลตัวเองจากโควิดมาหักลดหย่อนได้ บุคคลธรรมดา 15,000 บาท นิติบุคคล 50,000 บาท
ง) ปล่อยซอฟท์โลน รายละ 50,000 บาท สำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ พ่อค้าแม่ค้าที่สู้ภาวะเศรษฐกิจอันยากลำบาก ตรงนี้จำเป็นมากเพราะจะเป็นกันตัดวงจรหนี้นอกระบบที่เสี่ยงมากที่จะเกิดขึ้น หากวิกฤติยืดเยื้อ
หลักคิดที่สาม มาตรการ “ระงับพิษโควิด” ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการบูรณาการการจัดการปัญหาด้วย โมเดลถ้ำหลวงช่วยหมูป่า พร้อมทำทุกวิถีทางลดอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่ม เตรียมพร้อมทุกการรับมือที่ภาคสาธารณสุขต้องการ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีขั้นตอนดูแลคนแข็งแรงให้ไม่ป่วยเพิ่มแบบเป็นระบบ
หลักคิดที่สี่ ซึ่งสำคัญที่สุดคือ การ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” โดยยกตัวอย่าง เถาเป่าหรือตลาดออนไลน์ของจีนที่โตก้าวกระโดดขึ้นมาได้จากวิกฤติโรคซาร์ส
“ถึงเวลาภาครัฐชู E-Commerce พร้อมพลิกโฉมการบริการภาครัฐเป็น GovTech” เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยเกิดภาวการณ์ที่เรียกว่า รถโล่ง คนหาย ห้างวาย ร้านเงียบ แต่การซื้อขายยังคงอยู่!! ดังนั้น สิ่งที่ทำทันทีได้คือ รัฐเอื้อระบบนิเวศ E-Commerce โดยมีการเสนอมาตรการหั่นค่าส่งไปรษณีย์ 50% ทันที พร้อมเจรจาเอกชนโลจิสติกส์รายอื่นๆ และต้องเปิด Platform ค้าออนไลน์ที่ใช้ง่าย ส่งง่ายสำหรับสินค้าจำเป็นเช่น หน้ากาก เจล 4 หลักคิดและมาตรการด่วนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลทำเรื่องหลักที่สำคัญจำเป็นเร่งด่วนแก่คนตัวเล็กที่เดือดร้อนที่สุดก่อน โดยเรียกร้องให้เร่งทำทันทีก่อนที่พวกเราจะตายกันหมด” นายกรณ์ กล่าวย้ำ
4) พรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้จงเอาเรื่อง “พายเรือให้โจรนั่ง” ไปถกเถียงกันเป็นการภายใน อย่าเพิ่งผิดกาลเทศะในภาวะที่คนกลัวตาย จงไปช่วย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์”กับ “ดร.สรรเสริญ สมะลาภา” แก้ปัญหาการผลิต ควบคุม ตรวจสอบและกระจายหน้ากากอนามัยให้มีประสิทธิภาพ เพราะแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรมาดีแล้ว เปิดตลาดระหว่างประเทศมาดีแล้ว จะมาตกม้าตายเอาด้วยเรื่องหน้ากากนี้คงแย่แน่
พรรคฝ่ายค้านทั้งหลาย ก็เหมือนประชาธิปัตย์ หยุดเรื่องการเมืองไว้สักระยะ เป็นเวลา “รวมพลัง-รวมสมอง” พาประชาชนและทุกคนข้ามพ้นโรคระบาด โควิด-19 นี้ให้ได้ก่อน
หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้อย่าเพิ่งรบ พอโรคระบาดมันสงบ แล้วค่อยแผลงฤทธิ์!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี