วันที่ 24 มีนาคม 2563 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เป็นกำลังใจในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ความว่า
“ไม่มีชีวิตใดประสบแต่ความเกษมสุข ปราศจากทุกข์ภัยไปได้ตลอด เมื่อเกิดมาแล้ว จึงจำเป็นต้องขวนขวายสั่งสม “สติ” และ “ปัญญา” สำหรับเป็นอุปกรณ์บำบัดความทุกข์อยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้สมกับที่ดำรงอัตภาพแห่งมนุษย์ผู้มีศักยภาพต่อการพัฒนา
ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดซึ่งก่อให้เกิดความหวาดหวั่นครั่นคร้ามกันทั่วหน้า ทุกคนมีหน้าที่แสวงหาหนทางเพิ่มพูน “สติ” และ “ปัญญา” พร้อมทั้งแบ่งปันหยิบยื่นให้แก่เพื่อนร่วมสังคม อย่าปล่อยให้ความกลัวภัยและความหดหู่ท้อถอย คุกคามเข้าบั่นทอนความเข้มแข็งของจิตใจ ในอันที่จะอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี
มีธรรมภาษิตบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา พึงน้อมนำมาเตือนใจในยามนี้ ว่า
“เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ”เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม,ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก, ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต”
ขอทุกท่านจงเป็น “ผู้กล้าหาญ” ที่จะละความดื้อด้านเห็นแก่ตัว ความเคยตัว และความไม่ระมัดระวังตัว ขอจงเป็น “ผู้ที่ไม่พูดพล่าม” โดยปราศจากสาระ ก่อความร้าวฉานชิงชัง ในยามที่สังคมต้องการสาระ คำปรึกษาหารือ และกำลังใจ แต่จงประพฤติตนเป็น “บัณฑิต” ผู้รู้รักษากายใจของตัวให้ปลอดจากโรคกายโรคใจ เป็นผู้ฉลาดศึกษา ค้นคว้า วางแผน ชี้แนะ และลงมือทำ
ทั้งนี้ ถ้าแต่ละคนแม้เพียงตั้งจิตไว้ในธรรมฝ่ายสุจริต ไม่ถลำลงสู่ความคิดชั่ว อันนำไปสู่การพูดชั่วและทำชั่วซ้ำเติม ก็นับว่าได้ช่วยบรรเทาปัญหาของโลกแล้ว และยิ่งหากท่านมีดวงจิตผ่องแผ้วด้วยเมตตาการุณยธรรม นำความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปสู่ทุกชีวิตอย่างเสมอหน้า ความทุกข์ยากที่เราทั้งหลายต่างเผชิญ ย่อมจะคลี่คลายได้ในไม่ช้า
วโร วรญฺญู วรโท วราหโร
อนุตฺตโร ธมฺมวรํ อเทสยิ
อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ
เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ.
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงรู้ธรรมอันประเสริฐ ประทานธรรมอันประเสริฐ ทรงนำมาซึ่งธรรมอันประเสริฐ เป็นผู้ยอดเยี่ยม ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน เทอญ”
นับเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่ง ที่ทรงมอบ“เข็มทิศ” ให้เราทุกคนได้ขบคิดและน้อมนำมาปฏิบัติ
1) เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ
อันนี้ ประชาชนทั้งหลายคงมอบหมายและฝากความหวังไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีละครับ ในภาวะนี้ ท่านคือ “ผู้นำแต่เพียงผู้เดียว” ที่จะนำพาประชาชนรอดพ้นจากสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว แม้ท่านไม่สันทัดในปัญหาที่เกิด แต่จงอาศัยความเป็นผู้นำกองทัพในอดีต มานำทัพเพื่อรบกับโรคร้ายในเวลานี้ มีผู้รู้อยู่รอบตัวท่านมาระยะหนึ่งแล้ว สิ่งที่ขาดไปคือความกล้าหาญในการตัดสินใจ และสนับสนุนให้ผู้รู้เหล่านั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รู้จักใช้คน ใช้งบประมาณ ให้มีประสิทธิภาพ ถึงเวลานำสื่อของรัฐมาเป็น “อาวุธ” สู้กับความสับสนและความไม่รู้ของผู้คนได้แล้ว ถึงเวลานำ “ทหาร” มาทำในสิ่งที่ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แนะนำไว้ดีมากๆ กล่าวคือ
“...น่าจะได้นำกองทัพไทยทั้ง 3 เหล่าทัพ เข้าร่วมรบกับข้าศึก COVID-19 ที่มาทำลายความมั่นคงของประเทศ ทั้งด้านสุขภาพและสังคมในครั้งนี้
กองทัพเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีจำนวนที่ดินมากที่สุด มีอาคารสถานที่พร้อมเพรียง มีบุคลากรที่มีวินัยจำนวนมากกว่าหน่วยงานใดๆ ยิ่งกว่านั้น กองทัพมีบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์เสนารักษ์และโรงพยาบาลหลายแห่ง มีทหารช่างซึ่งสามารถสร้างโรงพยาบาลสนามได้อย่างรวดเร็ว มีรถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถบรรทุก รถพยาบาล
ยิ่งกว่านั้น กองทัพมีเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีทีวี และวิทยุร่วมกันถึง 200 สถานี
หากรัฐบาลจะใช้บารมีของอดีตผบ.ทบ. 3 คน ซึ่งก็คือตัวนายกฯ รองนายกฯ รมว.มหาดไทย สั่งการให้กองทัพเข้าร่วมสงครามรบกับ COVID-19 ด้วยทรัพยากรและคนของกองทัพที่มาจากประชาชนย่อมจะชนะศึกได้ง่ายมากขึ้น...”
เป็นโอกาสที่จะชนะ “ไส้ศึก” ในประเทศ ที่พยายามโจมตีทหารและกองทัพอยู่ตลอดเวลาได้ด้วย
2) เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม
ปัญหาที่ผ่านมา คือมี “คนพล่าม” เยอะเกินไปหมอๆ ทั้งหลาย เวลาที่ความเห็นไม่ตรงกัน ช่วยไปแย้งกันในห้องประชุมให้จบก่อนนะครับ อย่ามาเป็น “หมอในสื่อ” หรือ “หมอในโซเชียล” ให้ประชาชนสับสน กังวลใจ มากไปกว่านี้เลยครับ หาโฆษกหลักที่ไม่จำเป็นต้องเป็น “โฆษกรัฐบาล” มาทำหน้าที่ “สื่อสาร” กับประชาชนได้แล้วครับ เอาโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจมาระงับการ “พล่าม” ในสื่อทั้งหลายได้แล้วครับ ต้องยอมรับกันนะครับว่า ที่ผ่านมาสภาพต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างไม่คุยกันก่อน ล้วนเป็นต้นตอของความวิตกกังวลและหวาดกลัวของประชาชน จนเกิดปัญหาสังคม เกิดการ “ล่าแม่มด” และ“รังเกียจศพ” เพราะข้อมูลมันมาจาก “หลายแหล่ง” เกินไป ถึงเวลาที่จะต้องมี “ต้นทางที่เดียว” ได้แล้วครับ แล้วต้องพูดถี่ๆ พูดบ่อยๆ ไม่ต้องเกรงใจ เพราะสื่อก็ใช้ฟรี ไม่ต้องซื้อเวลา ต้องรู้ว่าประชาชนไม่ได้มีวิถีชีวิตเดียวกันแบบข้าราชการ บ้างทำงานกลางวันหลับกลางคืน บ้างทำงานกลางคืน หลับกลางวันบ้างอยู่หัวไร่ปลายนา ไม่ได้อยู่หน้าจอและมือถือ พูดไปเถอะครับ ซ้ำๆ เท่าไหร่ก็ได้ เพื่อให้ข้อมูลมันทั่วถึงเพื่อนำไปสู่ความพร้อมเพรียง ใครมีหน้าที่ จงพูดใครไม่มีหน้าที่ จงเงียบ และผู้มีหน้าที่ จงเปิดช่องทางให้คนอยากเสนอ มีทางที่จะเสนอความคิดเห็นและแนวทางของเขา เพื่อให้คุณนำไปชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเลือกได้ด้วย
3) ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก
เวลานี้ คนไทยควรเป็น “ที่รัก” ของกันและกัน ไม่ใช่เอาแต่ “ด่ากัน” และยามนี้ไม่ใช่จะมี “ข้าว-น้ำ”ทั่วถึงกัน ดังนั้นยิ่งต้องรักแบ่งปันกัน เห็นหลายหอพักปราศจากไม่เก็บค่าเช่าห้องแล้วตื้นตันใจ เห็นหลายร้านแจกอาหารให้คนตกงาน ไม่มีรายได้ แล้วชุ่มชื่นใจ เห็นคนบริจาคช่วยโรงพยาบาล เห็นคนจะอยู่บ้านเพื่อหมอ เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ เห็นคนตัดเย็บหน้ากากผ้าแล้วเอาไปแจก เอาไปแบ่งกัน นั่นคือ “ยาวิเศษ” คือ “น้ำทิพย์” ที่กลั่นจากใจของกันและกันเห็นคนช่วยอุดหนุนร้านชำข้างบ้านแทนร้านเจ้าสัว ฯลฯ ล้วนเป็นความดีงาม
4) ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต
นายกฯ ต้องช้อปปิ้งบัณฑิต เอาไปอยู่รอบตัว และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนผู้เป็นเจ้าของสื่อโซเชียลต้องทำตัวเป็นบัณฑิต อย่าเป็นคนพาล อะไรไม่รู้อย่าพูด อะไรไม่แน่ใจ อย่ากระจายข่าวไปให้คนแตกตื่น สื่อสารมวลชนก็เช่นกัน อย่าสนุกกับการพาดหัวข่าวให้ตื่นเต้นจนคนตื่นตูม อย่าเล่าข่าวเอามันส์ อย่าใส่อารมณ์ตื่นเต้น เน้นคำที่น่าแตกตื่น หวั่นไหวเล่าหรือสื่อให้คนได้ความรู้ ได้สติ พักความบ้าเรทติ้งไว้ก่อน มาสร้างประชาชนที่มีสติ สงบ สุขุมด้วยกันตอนนี้เหมือนบ้านกำลังเกิดไฟไหม้ จงช่วยกันเป็น “น้ำ” ไม่ใช่เป็น “เชื้อไฟ”
ประชาชนและบ้านเมืองจะรอดพ้นได้
“เราต้องช่วยกัน” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี