ผมเคยได้ทักท้วงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ว่าสัญญาซื้อเรือดำน้ำจากจีนแบบรัฐต่อรัฐ อาจเข้าข่ายสัญญาระหว่างประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ ต้องเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบก่อนถ้าดื้อลงนามอาจตกเป็นโมฆะ แนะ “ประยุทธ์” ถ้าไม่มั่นใจ สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนได้ แต่ท่านก็ไม่สนใจใยดีในกรณีนี้ จึงขอนำความเห็นดังกล่าวที่สื่อหลายสำนักได้นำ
มาเผยแพร่ในเวลานั้นมาให้ทราบอีกครั้งหรือหลายๆ ครั้ง ดังนี้ ครับ
“....นายปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายงบประมาณ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวหลายแห่ง ถึงกรณีพล.ร.อ.ลือชัยรุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ และคณะ จะเป็นผู้แทนผบ.ทร. เดินทางไปลงนามข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ ลำที่ ๑ ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล(จีทูจี) กับประเทศจีน ณ กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ ๔-๗ พ.ค. ๒๕๖๐ นี้ ว่า การทำสัญญาดังกล่าว อาจเข้าข่ายสัญญาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๑๗๘ เรื่องการทำสัญญากับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ เนื่องจากเป็นสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐ และยังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสัญญาตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งเกี่ยวกับการก่อหนี้ผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นก่อนเซ็นสัญญาต้องมีการเสนอเรื่องให้สภาฯ พิจารณาเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญก่อน ถ้าไม่เห็นชอบสัญญาอาจจะตกเป็นโมฆะได้
นายปรีชา ยังระบุด้วยว่า หากเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่มั่นใจ ก็สามารถที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ ระบุไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการทําหนังสือสัญญา สันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอํานาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ
หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรีเขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทําให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้มีกฎหมายกําหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จําเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทําหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย
และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ “....หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง....หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา....” แม้ตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ ได้ตัดความว่า “หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญออกไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง ทำให้ไม่มีบทบัญญัติความนี้ แต่ก็นำมาใช้ได้ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๕ ของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ฉะนั้น การทำสัญญาซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ไม่ว่าจะพิจารณาจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ และรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาการกระทำนั้น
จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๕ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นอันใช้บังคับมิได้
เมื่อสัญญาจัดจ้างซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนไม่มีผลใช้บังคับดังเหตุผลข้างต้นแล้ว ประเทศไทยควรที่จะแจ้งให้ประเทศจีนทราบเพื่อจะได้นำเงินงบประมาณในส่วนนี้ทั้งหมดมาเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันรักษาโรค “โควิด ๑๙” เช่นเดียวกับประเทศจีนที่ประสบภัยเช่นเดียวกัน และเห็นใจและเข้าใจประเทศไทยในกรณีนี้เป็นอย่างดียิ่ง
ดังจะเห็นได้เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ส่งอุปกรณ์การแพทย์ในการป้องกันรักษาโรคโควิด ๑๙ มาให้เพราะถือว่า “เป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดกัน”
เข้าสุภาษิตไทยที่ว่า “ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา”
ในมุมกลับกัน “ถึงเป็นชาติ เป็นเชื้อ ถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้อในป่า”
ถึงเทศกาลที่จะต้องลดกำลังรบให้พร้อมสรรพเพื่อจะได้ชัยชนะสงครามโควิด ๑๙ ให้สิ้นซากโดยการตัดลดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๔ ที่จะพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในเร็วๆ นี้ โดย ตั้งเป็น “กองทุนหมุนเวียนป้องกันรักษาโควิด ๑๙” ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔ ก่อนที่จะพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง เพราะเมื่อสภารับหลักการในวาระแรกแล้วในชั้นการแปรญัตติไม่อาจเพิ่มเติมรายการใหม่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ และควรจะต้องเพิ่ม “กองทุนหมุนเวียนสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน” ที่ได้ตั้งไว้ในงบประมาณปี ๒๕๖๓ จำนวน ๘๑๐,๔๙๐,๐๐๐ บาท ให้เพิ่มมากขึ้นในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ เพื่อไว้ใช้ในปัจจุบันและในงบประมาณปีต่อๆ ไป ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี