ก่อนอื่นต้องขอแสดงความชื่นชมกระทรวงกลาโหม ที่กองทัพเรือและกองทัพบกและกองทัพอากาศและอีกหลายหน่วยงานของรัฐที่เต็มใจจะชะลอการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารและงบประมาณหลายรายการที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และควรจะเป็น ๒๕๖๔ ด้วย ออกไปก่อน เพื่อนำเงินในส่วนนี้ไปใช้เยียวยาที่เกิดจากสงครามเหมือนกันแต่ไม่ใช่สงครามการสู้รบแต่เป็นสงครามในการต่อสู้กับสงครามโรคระบาด “โควิด ๑๙” ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย
การเยียวยาดังกล่าวนี้จะกระทำโดยการตราพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้ในปี ๒๕๖๓ ที่ไม่ใช่การตราเป็นพระราชกำหนด เพราะจะเป็นการหลีกเลี่ยงมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ ไปเพิ่มให้หน่วยงานที่จำเป็นในการป้องกันเยียวยาโรคระบาดโควิด ๑๙ แต่ไม่ใช่ไปเพิ่มในงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นที่จะเป็นการขัดแย้งต่อกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๓๕ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ ดังนี้
“งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย จะโอนหรือนำไปใช้สำหรับหน่วยรับงบประมาณอื่นมิได้ เว้นแต่
(๑) มีพระราชบัญญัติให้โอนหรือนำไปใช้ได้...
จะเห็นได้ว่าจะโอนได้โดยตราเป็นพระราชบัญญัติโอนระหว่าง “หน่วยรับงบประมาณ” เท่านั้น แต่รายการงบกลาง ตามมาตรา ๑๕ ไม่ใช่เป็นงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณแต่อย่างใด เพราะได้แยกต่างหากจากงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณตามมาตรา ๑๕ กรณีนี้จึงไม่อาจตราพระราชบัญญัติโอนงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณเช่นของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ไปเพิ่มงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพราะเป็นการขัดแย้งต่อกฎหมายวิธีการงบประมาณที่เป็นแม่บทหลักของกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย และตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๒๒ กำหนดให้งบกลางให้ตั้งได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง
แต่ถ้ารายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินไม่เพียงพอคณะรัฐมนตรีมีอำนาจโอนงบกลางรายการอื่นๆ หรือใช้เงินทุนสำรองจ่ายจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท มาใช้จ่ายได้แต่ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ภายหลัง
แต่ถ้าจะโอนให้ชอบด้วยกฎหมายวิธีการงบประมาณจะต้องโอนไปเพิ่มให้หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานอื่นมีหน้าที่ต้องช่วยกันเยียวยาความเดือดร้อนจากโรคระบาดโควิด ๑๙
อนึ่ง รายการนี้ตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๓๖ กำหนดให้เป็นอำนาจ ของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณจัดสรรตามความจำเป็น แต่ได้มีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้เป็นหลักเกณฑ์ปฏิบัติ กล่าวคือ วงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะอนุมัติ หากวงเงินเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะอนุมัติ
การใช้จ่ายรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นจึงเป็นงบทางการเมืองมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ตราขึ้นในตอนนั้นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นข้าราชการเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะสั่งได้โดยตรงผ่านการจัดสรรของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่จะจัดสรรให้ส่วนราชการเบิกจ่ายได้ตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี และรายการนี้แหละเป็นผลให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ถูกคำสั่งตามมาตรา ๑๗ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ของจอมพลสฤษดิ์ เอง ยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของรัฐ มีจำนวนมากมายถึง ๖๐๔,๕๕๑,๒๗๖ บาท ๖๒ สตางค์ที่มีเงินงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นเจือสมอยู่ด้วย หาดูรายละเอียดเรื่องนี้ได้ที่กระทรวงการคลัง ครับ
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี