ระยะนี้คอการเมืองไทยจะได้ยินเสียงพูดเรื่อยยุบสภาบ่อยครั้งขึ้น บ่อยเสียจนหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า จะยุบสภาจริงหรือ ยุบเพื่ออะไร ยุบแล้วรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จะได้กลับมามีอำนาจรัฐอีกหรือ แล้ว สส. ที่อยู่ในสภาอยากให้ยุบหรือไม่ แล้วก็มีคำถามเลยไปว่า หากยุบจริงๆ บรรดา สว. ที่หลายคนวิพากษ์ตรงกันว่ามาจากการแต่งตั้งของ สนช. จะมีความสุขหรือ หรือบางคนถามแรงๆ ว่า ทหารจะกล้าให้ยุบสภาหรือ เพราะเมื่อยุบสภาแล้ว บิ๊กตู่ก็อาจจะไม่ได้กลับมามีอำนาจรัฐ เมื่อบิ๊กตู่หมดอำนาจรัฐ แล้วทหารจะไม่ถูกฝ่ายการเมืองไล่บี้หรือ
ขึ้นชื่อว่าคำถามการเมือง ใครๆ ก็ถามได้ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ถาม แต่คำถามนั้นจะน่าสนใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคำถามนั้นแหลมคมชวนให้คิด หรือว่าทื่อเสียจนไร้ความน่าสนใจ
ก่อนอื่นต้องถามกันให้ชัดก่อนว่า ใครมีอำนาจยุบสภาคำตอบคือนายกรัฐมนตรี ถ้าหากนายกรัฐมนตรีไม่ต้องการยุบสภา จะมีใครประกาศยุบสภาได้หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ได้ แต่คอการเมืองไทยรู้ดีว่า การยุบสภาที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็มิได้ต้องการยุบสภา แต่ทว่าไม่สามารถต้านทานต่อแรงบีบแรงอัดทางการเมืองได้ จนสุดท้ายก็ต้องจำใจยุบสภา แต่ก็มีในบางครั้งที่นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นว่าตนเองมีความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าฝ่ายตรงข้าม ก็จึงประกาศยุบสภาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุย แต่ทว่ามีผลประโยชน์สำหรับตัวนายกรัฐมนตรีเอง
เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปถามนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะประกาศยุบสภาในเร็ววันนี้หรือไม่เพราะไม่ว่าจะถามย้ำ ถามซ้ำมากสักเพียงใด ก็ไม่มีวันได้คำตอบแท้จริง และชัดเจน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องดูสถานการณ์การเมืองโดยใกล้ชิด แล้วประเมินสถานการณ์เอาเอง
โปรดอย่าลืมว่า การยุบสภา (ผู้แทนราษฎร) คือมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ความเป็นสมาชิกภาพของ สส. สิ้นสุดลง โดยขั้นตอนการยุบสภามีดังนี้ นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง บรรดา สส. ทั้งปวงหลุดพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวันครบวาระตามกำหนด โดยมีเป้าประสงค์เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ และการยุบสภานั้นถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่ใช้คานอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การยุบสภามักเกิดขึ้นตามสภาวการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้นๆ เช่น เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในรัฐสภาจนไม่สามารถหาทางประนีประนอมระหว่างกันได้อีกต่อไป แต่ในหลายกรณีก็พบว่าการยุบสภาเกิดขึ้นเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการชิงความได้เปรียบทางการเมืองของฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ หรือเมื่อผู้มีอำนาจรัฐมองเห็นว่า สามารถแก้วิกฤติต่างๆ ของบ้านเมืองได้เป็นที่น่าพอใจ และตนเองมีคะแนนนิยมสูงมากพอที่จะทำให้ประชาชนลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองของตนเองให้กลับมาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลอีกวาระหนึ่ง เหล่านี้ เป็นต้น
แต่ถึงกระนั้น เราต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า การยุบสภาเพื่อนำไปสู่เลือกตั้งใหม่ในประเทศไทยก็ไม่สามารถแก้วิกฤติศรัทธาของประชาชนได้ ดังพบมาแล้วว่า แม้จะประกาศยุบสภาเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว ปรากฏผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว แต่ในบางครั้งประชาชนก็ไม่เชื่อมั่นในผลการเลือกตั้ง
คำถามที่ตามมาคือ ถ้าหากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะประกาศยุบสภาขึ้นมาจริงๆ แล้วต่อให้กำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน แล้วต่อให้ผลการเลือกตั้งปรากฏชัดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่มีคำถามคือ หากพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้ง สามารถเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งที่ได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุด แล้วฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลของนายกฯ ประยุทธ์ ที่หลายคนเรียกว่าเป็นรัฐบาลทหาร จะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่ ในมุมตรงกันข้าม ถ้าหากพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่พรรคไทยรักไทยสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ กลุ่มคนที่ไม่ชื่นชอบพรรคไทยรักไทยจะรับผลการเลือกตั้งได้หรือไม่
อย่าลืมว่าเมื่อไทยนั้นเคยเกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งมาแล้ว จนต้องเกิดการประท้วงทางการเมืองอย่างรุนแรง แล้วนำไปสู่ความวุ่นวายโกลาหล ซึ่งอันที่จริง ประชาชนก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามถึงชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองใดๆ ได้ แต่สำหรับประเทศนั้นมีความมหัศจรรย์มากกว่าตรงที่ประชาชนประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งปัญหานี้อยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อกระบวนการเลือกตั้ง และต่อชัยชนะทางการเมืองของพรรคการเมืองแต่ละพรรค และนักการเมืองแต่ละคน
หลายคนอาจบอกว่าการเลือกตั้งคือกรรมวิธีที่ดีที่สุดของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เพราะประชาชนคือผู้ใช้สิทธิออกเสียงว่าจะเลือกใครเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ขอถามย้ำว่า คุณแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหมว่า กระบวนการเลือกตั้ง กรรมวิธีการเลือกของไทยบริสุทธิ์โปร่งใสขาวสะอาดทุกขั้นตอน หรือหากถามให้ตรงประเด็นคือคุณแน่ใจใช่หรือไม่ว่าการเลือกตั้งของไทยปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในทุกเขตในทุกพื้นที่ และประชาชนผู้ไปออกสิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้งสามารถเลือกบุคคลที่เขาเห็นว่าเหมาะสมกับการเป็นผู้แทนของเขา โดยปราศจากอำนาจใดๆ บีบบังคับ มีใครคนไหนสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้บ้าง หากมีกรุณาแสดงตัวด้วย
นอกจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วยกโลบายสารพัดชนิดแล้ว ยังมีอิทธิพลมืดอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ออกสิทธิ์ใช้เสียงไม่สามารถเลือกคนที่ต้องการได้แท้จริง
ปมปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในสังคมไทยคือ คุณภาพของผู้สมัคร สส. เรื่องนี้คือสิ่งที่วิญญูชนในสังคมไทยประจักษ์มาโดยตลอด จนมีการตั้งคำถามว่า คนพรรค์อย่างนี้นี่หรือบังอาจกล้าสมัคร สส. ช่างไม่ดูเงาของตนเองในกะโหลกบ้างเลย
แน่นอนว่า คนต่างจังหวัดโดยเฉพาะคนที่มีเศรษฐสถานะไม่ดีมักจะต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านต่างๆ จากผู้ยิ่งใหญ่ในท้องที่ ในจังหวัดของตนเอง ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนเคยได้รับข้อมูลจากประชาชนกลุ่มหนึ่งในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบนว่า ทำไมจึงเลือกคนคนนี้จากพรรคการเมืองนี้เป็น สส. แล้วทำไมเมื่อถึงฤดูเลือกตั้งคนซึ่งเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จะต้องกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่จังหวัดบ้านเกิดของตนเอง ทั้งๆ ที่สามารถเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดบ้านเกิดได้ คำตอบที่ผู้เขียนได้รับคือ ต้องกลับไปเลือกตั้งที่จังหวัดบ้านเกิด เพราะทางบ้านได้ตกลงกับหัวคะแนนไว้แล้ว (ผู้เขียนมั่นใจคุณผู้อ่านที่ติดตามการเมืองไทยคงสามารถเข้าใจคำว่า “ทางบ้านได้ตกลงกับหัวคะแนนไว้แล้ว” ได้เป็นอย่างดี) แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนจำนวนไม่น้อยบอกว่า ต้องกลับไปลงคะแนนเสียงที่จังหวัดบ้านเกิด เพราะว่าแกนนำพรรคการเมืองพรรคนั้น ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดบ้านเกิดของผู้มีสิทธิออกเสียงมีบุญคุญกับพ่อแม่ของตน ดังนั้นตนจึงต้องกลับไปลงคะแนน และต้องไปแสดงตนให้หัวคะแนนได้เห็นว่าตนกลับมาใช้สิทธิ์แล้ว หากไม่ทำเช่นนั้น พ่อแม่ญาติพี่น้องของตนก็จะเดือดร้อน นี่คือตัวอย่างข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนได้รับจากประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ แต่ต้องกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้งในจังหวัดบ้านเกิด
แน่นอนว่า ประชาชนคงไม่ได้เป็นเพียงหมากการเมืองของนักการเมืองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงนักการเมืองก็ถูกใช้เป็นหมากการเมืองของประชาชนเช่นกัน เพราะการได้คะแนนเสียงของนักการเมืองก็ต้องแลกกับสิ่งที่ประชาชนต้องการ(ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคุณจะเรียกว่าการซื้อเสียงหรือการยื่นหมูยื่นแมว) ดังนั้นประชาชนจำนวนไม่น้อยจึงต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพราะทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง ต้องมีการหาเสียงโดยนักการเมือง เมื่อมีการหาเสียงก็มีคำสัญญาต่างๆ จากนักการเมือง ส่วนประชาชนก็อาจจะมีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการ บางชุมชนต้องการถนน แหล่งน้ำ และไฟฟ้า ประปา และเครื่องอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ ดังนั้นเมื่อถึงฤดูเลือกตั้งประชาชนก็จะเป็นฝ่ายตั้งข้อเรียกร้องกับนักการเมือง หากนักการเมืองสัญญาว่าจะให้ แล้วทำได้ตามสัญญา ประชาชนก็จะให้การสนับสนุนด้วยการลงคะแนนเสียงให้ แต่หากไม่ได้ตามสัญญา ประชาชนก็อาจจะไม่เลือกนักการเมืองจากพรรคการเมืองนั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งประชาชนสมหวังและผิดหวัง
ตอนนี้แม้จะยังไม่มีคำยืนยันเรื่องยุบสภา แต่เท่าที่มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในแต่ละวันก็พอจะจับความเคลื่อนไหวได้ถึงกระแสยุบสภาที่ออกมาเป็นระลอกๆ ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคและจากพรรคฝ่ายค้านบางพรรค แต่ที่น่าสนใจและน่าจับตามองมากในระยะนี้คือ เริ่มมีกระแสพลังดูด สส. ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นที่ละน้อย แม้กระทั่งมีข่าววงในจากคนการเมืองถึงกับพูดว่ามิใช่แค่เพียงพรรคการเมืองในซีกรัฐบาลจะพยายามดูด สส.จากพรรคร่วมด้วยกันเอง แต่ยังพยายามดูด สส. จากพรรคฝ่ายค้านด้วย แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเองก็ยังเกิดกระแสการดูด สส. ที่มีความละอ่อนทางการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเอง พูดเพียงเท่านี้คอการเมืองไทยคงเห็นภาพปรากฏชัดขึ้นแล้วใช่ไหม ดังนั้นจึงต้องจับตาเฝ้าสังเกตพลังดูดจากพรรคการเมืองต่างๆ ให้จงดี เพราะจะทวีพลังดูดมากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับ และขอบอกว่าเรื่องการดูด สส. นั้นเกิดขึ้นในวงการเมืองไทยมาแล้วหลายยุคหลายสมัย และเมื่อสามารถดูดได้จนเพียงพอแล้ว การยุบสภาก็น่าจะบังเกิดตามมาในไม่ช้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี