ศบค.ได้มีมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ ช่วงที่ 4 โดยยกเลิกเคอร์ฟิวตั้งแต่ 23.00 น. ของวันที่ 14 มิ.ย. รวมถึงผ่อนคลายให้ดำเนินกิจการหรือกิจกรรมบางอย่างได้ปกติโดยยังต้องอยู่ภายใต้มาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุข เพื่อให้สามารถควบคุมและป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดที่อาจกลับมารอบที่ 2 ได้ เป็นผลให้ตอนนี้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เศรษฐกิจเริ่มขยับตัวได้บ้างและมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่ชะงักไปหลายเดือน แต่กลับมีกระแสเรียกร้องเรื่องการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ออกมาจี้ถามหาความชอบธรรมในการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งในเรื่องนี้เลขาธิการสมช.ก็ได้ออกมาตอบชัดเจนแล้วว่า “สักวันก็ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่แล้ว ไม่สามารถใช้ไปได้ตลอด เพียงแค่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ การแพร่ระบาดเป็นหลัก ในขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และประชาชน ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้” ซึ่งตอนนี้น่าจะกำลังมีการทบทวนเรื่องการใช้อำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน
ขณะที่พอโควิดเริ่มคลายฝ่ายการเมืองก็ออกมาเรียกร้องเลือกตั้งท้องถิ่นทันที
จากที่มีกระแสข่าวการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีแววว่า ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากไม่มีความพร้อมด้านงบประมาณที่ถูกดึงไปใช้แก้ปัญหาโควิด-19 ไปมาก อย่างที่นายวิษณุ รองนายกฯ
กล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเป็นอย่างมาก เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นคือการเลือกตั้งที่บรรดานักการเมืองรอคอยกันมานาน โดยระบุเป็นเรื่องของการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการตัวเองได้และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงจุด แต่ที่สำคัญกว่าคือการที่ฝ่ายพรรคการเมืองกำลังต้องการเช็คความนิยมของแต่ละพรรคในพื้นที่ และยังเป็นส่วนสำคัญในการกุมอำนาจหัวคะแนนในพื้นที่ด้วย
การเลือกตั้งท้องถิ่นถูกชะลอออกไปตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลาหลายปี หลายสิ่งรวมถึงความนิยมของประชาชนเปลี่ยนไปมากแล้ว จึงนับว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้จะยิ่งมีความสำคัญมากกว่าทุกครั้ง เรื่องนี้ทางกระทรวงมหาดไทย ถูกมองว่าดึงเวลาดึงจังหวะมานาน จนอาจมีคำวิจารณ์ไปถึงรัฐบาลและมหาดไทยยุคนี้ ไม่ได้เห็นความสำคัญในการกระจายอำนาจสู่ประชาชน แต่เน้นการบริหารผ่านระบบราชการอย่างเดียวทั้งคนและทั้งระบบ กลับไปสู่ระบบรวมศูนย์อำนาจแบบอดีต มากกว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้ท่านนายกฯ ต้องคิดให้ดีเพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นก็เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไม่แพ้การเมืองสนามใหญ่ การกำหนดเวลาในช่วงที่เหมาะสมเป็นสิ่งถูกต้องแต่เวลาที่เนิ่นนานเกินไปอาจทำให้เราต้องถอยหลังไปอีกในเรื่องนี้หรือไม่?
ขณะที่โควิดเริ่มคลาย พรรคการเมืองกำลังป่วนภายในกันหลายพรรคไม่เว้นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
กระแสความขัดแย้งในพรรคการเมืองต่างๆ มีมาตลอดตั้งแต่หลังอภิปรายจนถึงช่วงโควิดระบาดแต่ก็เงียบหายไปและกลับมาอีกครั้งเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลายฝ่ายคิดว่านายกฯจะปรับครม.หลังสถานการณ์ดีขึ้นจึงเป็นที่มาของการเขย่ากันภายในแต่ละพรรค โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ที่อาจนำไปสู่ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลในสายตาประชาชนหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นศึกภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูจะคุกรุ่นขึ้น ในกรณีการเขย่าเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากข้อกล่าวหาเรื่องการแจกข้าวโควตากระทรวงพาณิชย์ในพื้นที่บางจังหวัดเท่านั้นไม่ได้ให้กับ สส.พรรคทุกพื้นที่ ประกอบกับความไม่พอใจในการบริหารพรรคของหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค ที่สะสมปัญหามานานที่ถูกมองว่าทั้งที่พรรคเป็นรัฐบาล แต่กลับไม่สามารถประสานและช่วยเหลือสส.และลูกพรรค ในฐานะหัวหน้าพรรคได้
จนนำไปสู่ข่าวการเขย่าเก้าอี้หัวหน้าพรรคก่อตัวเป็นกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ จนต้องให้ผู้อาวุโสในพรรค อย่างท่านประธานสภาฯ ชวน มาออกโรงห้ามศึกภายในอีกครั้ง และแม้ดูเหมือนท่าทีความรุนแรงภายในจะสงบลงแล้วในตอนนี้แต่ก็ไม่รู้ว่ารอยร้าวที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่อะไรต่อไปในสภา เรื่องนี้อาจดูจะหนักหนาสำหรับคนภายนอก แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของพรรคประชาธิปัตย์ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ติดตามการเมืองจะรู้จักศึกครั้งใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ในนามของกลุ่ม 10 มกรา โดยในครั้งนั้นความขัดแย้งภายในพรรคได้นำไปสู่การยุบสภาของรัฐบาล พล.อ.เปรม เลยทีเดียว จึงน่าจะเป็นเหตุให้นายชวนต้องออกมาตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อสงบศึกในครั้งนี้
ที่มีกระแสออกมาสักพักแล้ว คือการเขย่าเก้าอี้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐเพื่อหวังผลการปรับเก้าอี้ ครม. ในส่วนของโควตาพรรคพลังประชารัฐ โดยมีรายชื่อออกมาตามข่าวว่าอาจจะโดนขยับหรือที่มีการเรียกร้องให้เปลี่ยน ก็คือตำแหน่งรองนายกฯเศรษฐกิจ รมว.คลัง รมว.พลังงาน และตำแหน่งอย่างรมว.อุตสาหกรรม รมว.การอุดมศึกษาฯ ก็อาจจะเป็นเก้าอี้ให้หมุนเวียนให้คนที่อกหักรอบแรกได้เข้ามาลองฝีมือ แต่หากเป็นเช่นนี้จริง นี่นับเป็นการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุดตั้งแต่ยุคคสช.ในมุมหนึ่งเรื่องเศรษฐกิจถือเป็นจุดบอดของรัฐบาลปัจจุบันมาตลอด จนมีผู้กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจมือไม่ถึง และหลายคนอยากเห็นมุมมองหรือทางออกใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งการปรับ ครม.ในครั้งนี้
แต่อีกกระแสหนึ่ง มีกระแสข่าวว่าการปรับ ครม. ในครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ จากกลุ่มสมคิดและกลุ่ม 4 กุมาร จากพรรคพลังประชารัฐ? ที่แม้จะเป็นผู้ก่อตั้งแต่เมื่อเริ่มทำงานในฐานะรัฐบาลก็เหมือนคลายมือจากการบริหารพรรค ลักษณะนี้เจอโจทย์ไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่สิ่งที่ต่างคือ การเข้ามาของขั้วอำนาจใหม่ในพรรค ที่สส.ของพรรคพลังประชารัฐมีแนวโน้มไหลรวมไปอยู่กับกลุ่มพล.อ.ประวิตร จนไปถึงข่าวการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคเป็นพล.อ.ประวิตร ซึ่งเรื่องนี้อาจกระทบไปถึงการเดินเกมการเมืองใหญ่ ที่แม้พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้องพรรค แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงภายในจริง อาจกระทบถึงเสถียรภาพของรัฐบาล
พรรคขนาดเล็กก็ยังมีประเด็นความขัดแย้งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแล้ว โดยม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของหัวหน้าพรรค ทั้งนี้ยังไม่มีข่าวการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ความขัดแย้งในพรรคไม่เว้นในพรรคฝ่ายค้าน ตั้งแต่มุมมองที่เริ่มแตกต่างกันมากขึ้นระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ตั้งแต่ช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา จนนำไปสู่วิถีต่างคนต่างเดินในฝ่ายค้าน? อีกส่วนหนึ่งก็คือความขัดแย้งในเพื่อไทยเอง โดยบางส่วนในพรรคเพื่อไทย ที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มแคร์ มีกระแสว่ามีการรวบรวมขุนพลไทยรักไทยเก่า และผู้มีความเห็นว่าพรรคเพื่อไทยต้องเปลี่ยนแปลงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเข้ามาทำงาน มีการเปิดตัวแกนนำกลุ่มจากสายนักการเมืองเก๋าเกมอย่างนายภูมิธรรม และยังมีแนวร่วมจากสื่อมวลชน นักวิชาการอีกหลายคนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นกลุ่มแคร์เพื่อหวังพลักดันให้เกิดความกระตือรือร้นในการพัฒนาประเทศ ส่วนหนึ่งก็มีการพูดไปถึงว่ากลุ่มแคร์จะแตกกลุ่มออกไปเพื่อตั้งพรรคการเมืองเตรียมสู้ศึกในครั้งหน้า แต่จะเหมือนเป็นพรรคทางเลือกแบบไทยรักษาชาติหรือไม่? หรืออีกแนวคิดหนึ่งคือกลุ่มแคร์กำลังโยนหินถามทางถึงกระแสความนิยมในพรรคเพือไทยว่ายังขายได้หรือไม่? หากไม่ได้ก็อาจต้องหาทางเลือกใหม่ให้ประชาชน แต่อย่าลืมว่านายภูมิธรรมเป็นสายตรงของอดีตนายกทักษิณ จึงยังคาดเดาแนวทางหรือเป้าจริงๆ ไม่ได้
การขยับตัวของกลุ่มการเมืองในแต่ละพรรคกำลังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งก็มีการคาดการณ์ว่าจะเป็นการปรับ ครม. ครั้งใหญ่หลังครบ 1 ปี การจัดตั้งรัฐบาล การปรับครั้งนี้หากทำได้ดีก็เท่ากับว่าต่ออายุรัฐบาลไปจนครบวาระ หากอุดช่องโหว่ของเศรษฐกิจได้ ก็จะทำให้ศรัทธาของประชาชนกู้คืนกลับมาได้ ความคาดหวังต่อรัฐบาลมากกว่าเรื่องของการเมือง สิทธิ เสรีภาพ แต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้องมากกว่าที่จะทำให้ประชาชนศรัทธาในการทำหน้าที่ต่อไป....แต่หากเป็นการปรับครม. เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ของภายในแต่ละพรรคก็เตรียมนับเวลาถอยหลังการเมืองได้เลย
โชคชะตาคนผู้หนึ่งเป็นอย่างไร เกิดจากการกระทำของตัวเอง
ดังนั้นคนขยันหมั่นเพียรต้องประสบโชคดีแน่นอน
เล็กเซี่ยวหงส์ ตอนหงส์ผงาดฟ้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี