ครบรอบ 88 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ในช่วงเวลากว่า 88 ปี ที่ผ่านมาประชาธิปไตยไทยได้ผ่านรอยแผล อุปสรรค และความท้าทายไม่น้อย ถึงวันนี้ประชาธิปไตยไทยดำเนินมาถึงการมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งครบรอบ 1 ปีของการจัดตั้งรัฐบาล แต่อาจยังมีคนมองว่า นี่ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบที่ต้องการหรือไม่? เพราะฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่าย “ประชาธิปไตย” กำลังเล่นเกมแบ่งคนไทยออกเป็นสองกลุ่ม
โดยชี้ว่าการเป็นประชาธิปไตยต้องเป็นการได้มาซึ่งรัฐบาลจากการเลือกตั้งบนฐานของกฎ กติกา ที่เป็นธรรมตามแบบที่ตนคิดว่าถูกต้อง ซึ่งนั่นเท่ากับพยายามบอกว่ากติกาในรอบที่ผ่านมาไม่เป็นธรรมหรือ? มากไปกว่านั้นคือ กองทัพโซเชียลที่กำลังจำกัดการแสดงความคิดเห็นของคนในโลกออนไลน์ด้วยการปลุกประเด็นในอดีต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มีคนตั้งคำถามว่าการบีบบังคับของ “ฝ่ายที่บอกว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย” เองกำลังทำลายความเป็นประชาธิปไตยใช่หรือไม่? เพราะการบีบคั้นให้เกิดการแบ่งฝ่ายของประชาชน และสุดท้ายจะกลายเป็นการกดทับความคิดเห็นที่แตกต่างหรือไม่?
แรงเขย่าทางการเมืองต่อการปรับครม. ตอนนี้ดูเหมือนจะมีแต่คนในเมืองกันเองและในทั้งรัฐบาลเองมากกว่าเสียงของประชาชนและฝ่ายค้าน โดยข้ออ้างคือเสนอให้มีการปรับ ครม. ในเก้าอี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจเพื่อรองรับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเข้ามาถึง การเขย่าภายในพรรคพลังประชารัฐมีแรงกระเพื่อมหนักจนกระทั่งปิดดีลที่ พล.อ.ประวิตรจะนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคแทนนายอุตตม ที่หลายฝ่ายหวังผลไปถึงการปรับเก้าอี้ครม.ในกลุ่มผู้บริหารพรรคชุดเดิมด้วย แม้จะมีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับ ครม.แต่คงไม่ใช่วันสองวันนี้แน่นอน และแม้จะมีข่าวแล้วว่ารัฐมนตรีในกลุ่ม 4 กุมาร อาจจะหลุดจากเก้าอี้เดิมเกือบทั้งหมดแต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าตำแหน่งรัฐมนตรี พลังงาน คลัง อว. และรองนายกฯเศรษฐกิจ อาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการต่อรองในช่วงนี้หรือไม่?
เรื่องน่าประหลาดคือข้ออ้างในการปรับครม.ที่ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้มีการปรับชุดเศรษฐกิจ และคงไม่อาจโทษช่วงการบริหารงานในช่วงโควิดได้ แต่น่าจะเป็นความตั้งใจจะปรับครม. อันเนื่องมาจากประเด็นการเมืองภายใน ตั้งแต่หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว แต่ต้องหยุดไปเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และคำประกาศของนายกฯที่จะให้ทุกคนช่วยกู้วิกฤติโควิดก่อน พอเวลาผ่านไปสถานการณ์โควิดดีขึ้น กลุ่มเดิมจึงมีการเขย่าให้ปรับครม.ในส่วนของโควตาภายในพรรคพลังประชารัฐ? แต่คราวนี้เปลี่ยนแนวคิดการนำเสนอ โดยพุ่งเป้าไปที่การปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐแทน เพื่อหวังผลในการปรับครม.
ประเด็นนี้ไม่ได้เขย่าเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลด้วยโดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมพลังประชาชาติไทยด้วย โดยพรรครวมพลังประชาชาติไทยแม้จะเป็นพรรคขนาดเล็กแต่ก็โดนกระแสปรับเปลี่ยนผู้บริหารเช่นเดียวกัน การวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของหัวหน้าพรรคในที่ประชุมพรรค จนนำไปสู่กระแสกดดันให้หม่อมเต่าลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคในที่สุด ท้ายที่สุดก็คาดเดากันได้ว่าเป็นการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนโควตาของพรรครวมพลังประชาชาติไทยเอง
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับที่ 3 ดูเหมือนช่วงต้นกระแสในพรรคจะมีการเขย่าแรงถึงข้อเสนอในการปรับเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและชุดผู้บริหารแบบเดียวกับพรรคพลังประชารัฐจนนำไปสู่รอยร้าวครั้งใหญ่ในพรรคแต่อยู่ๆ ก็เบี่ยงประเด็นมาสู่การปรับเก้าอี้ครม.ภายในพรรคเอง เมื่อสถานการณ์เริ่มมีความขัดแย้งมากขึ้นของมุ้งต่างๆ ในพรรคที่แบ่งแยกชัดขึ้นทุกวันก็มีการปรากฏงานเลี้ยงเพื่อประสานรอยร้าวเมื่อ 2 วันก่อน มาครบทั้งรัฐมนตรี สส.ปัจจุบัน อดีตหัวหน้าพรรค ไม่เว้นแม้แต่นายอภิสิทธิ์ เพื่อยืนยันการสมานสามัคคีภายในพรรค หรือแท้จริงแล้วอาจเป็นการยอมสงบศึกชั่วคราวหลังจากการที่ฝุ่นตลบมาพักใหญ่? เพราะหากปล่อยให้มีการวัดฐานเสียงแต่ละกลุ่มในพรรคต่อไปอาจทำให้พรรคแย่ไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม พรรคร่วมหลายพรรคที่มี สส.ไม่สอดคล้องกับเก้าอี้รัฐมนตรี อย่างกรณีภูมิใจไทยที่มีจำนวน สส.เพิ่มขึ้นก็อาจจะได้เก้าอี้เพิ่มหรือไม่? แต่หัวหน้าพรรคก็ได้ออกมาแตะเบรกไว้ก่อนไม่เรียกร้องเพื่อป้องกันความระส่ำภายในพรรค และที่จะต้องติดตามต่อไปอย่างกรณีพรรคเล็กอย่างพรรคพลังท้องถิ่นไทได้สส. 8 คน แต่ไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรี เมื่อเทียบกับพรรคชาติพัฒนาและพรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นสองพรรคที่กลับได้ 2 ที่นั่งครม. ก็ดูแลอาจจะอยากได้ที่นั่งรัฐมนตรีแต่ก็ยังไม่มีการเรียกร้องอะไร
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับพรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐหากมีการปรับเปลี่ยนจริง ก็ยังต้องหันกลับไปถามนายกฯว่าจะเป็นการปรับเฉพาะโควตาในพรรคพลังประชารัฐ หรือจะมีการแลกเก้าอี้ระหว่างพรรคหรือไม่? สถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เกิดการระส่ำ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนายกฯก็ได้ออกมาประกาศชัดเจนแล้วว่าจะยังไม่มีการปรับครม.ในช่วงเวลานี้ ต้องติดตามกันต่อไป เพราะอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ นายกฯประยุทธ์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในไทยกำลังผ่อนคลายลงเนื่องจากการไม่พบการแพร่ระบาดของโรคภายในประเทศเลยภายในเดือนที่ผ่านมา จึงทำให้มาตรการในการเฝ้าระวังเริ่มคลายลง แต่ความร้อนแรงทางการเมืองกำลังปะทุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การปรับครม. เกิดขึ้นในทุกรัฐบาล แต่การปรับครม. ต้องเพิ่มเสถียรภาพให้รัฐบาล ทั้งในมุมของความเป็นหนึ่งเดียวทางการเมือง และความเชื่อมั่นของประชาชน การเลือกคนให้เหมาะสมกับการทำภารกิจต่างๆ ย่อมได้รับผลที่ถูกทางมากกว่า ที่ผ่านมากลไกการจัดที่นั่งเป็นเรื่องของโควตาแต่ละพรรคก็จริงแต่ที่นายกฯต้องให้ความสนใจคือการทำงานร่วมกันบางครั้งก็ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ ทำงานร่วมกันได้มากกว่าใครก็ได้ตามที่พรรคร่วมส่งมา พล.อ.ประยุทธ์ ทำถูกในเรื่องการเมืองที่ไม่ให้กระทบพรรคร่วม แต่ต้องสนใจผลสัมฤทธิ์ในภาพรวมด้วย....
ในโลกความจริงไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจอีกผู้หนึ่งโดยกระจ่างอย่างแท้จริง มิว่าเป็นสามี ภรรยาเป็นมิตรสหายก็ตาม อย่าว่าแต่สตรีความจริงก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้คนเข้าใจอยู่แล้ว
โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี