โกรธที่อุตส่าห์เป็นเด็กดี ทำตามมาตรการของรัฐอย่างเข้มงวด แต่กลับมีพวก “วีไอพี” ไม่ต้องปฏิบัติตาม เข้ามาสร้าง “ความเสี่ยงใหม่” ให้คนไทยต้องลำบากอีกระลอก
เอากรณีแรกก่อน ทำความเข้าใจกันก่อนว่าเครื่องบินอียิปต์เข้ามาจอดและไปนอนระยองกันได้ยังไง?
1.เนื่องจากเครื่องบิน ไม่ใช่เครื่องบินพาณิชย์หรือเครื่องบินพลเรือน เป็นเครื่องบินทหาร มีเหตุจำเป็นจะต้องลงเติมน้ำมันและซ่อมบำรุง จะทำเช่นนั้นได้ต้องขออนุญาตผ่านหลายหน่วยงาน หลายขั้นตอน
2.กองทัพอียิปต์ ประสานงานผ่านสถานทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย
3.สถานทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย ร้องขอผ่านกระทรวงการต่างประเทศของไทย
4.เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาเหตุผลความจำเป็นแล้ว ก็ส่งต่อให้กับกองทัพอากาศพิจารณาอนุมัติการบินเข้าประเทศภายใต้ โดยให้คำนึงถึงข้อพิจารณาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางการทหารและความเป็นพันธมิตร หรือ พันธะทางทหารที่มีต่อกัน
5.กองทัพอากาศตรวจสอบแล้วว่า ข้อพิจารณาทางทหาร สอดรับกับอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบแล้ว ทอ.จึงลงนามอนุมัติ หลังจากนั้น ส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศ ไปดำเนินการต่อไป
6.กระทรวงการต่างประเทศ ส่งเรื่องให้สถานทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย และแจ้งสนามบินปลายทาง คือ สนามบินอู่ตะเภา
7.สถานทูตอียิปต์ ประสานสนามบินปลายทาง ให้ลงจอดที่อู่ตะเภา ในการนี้ สถานทูตอียิปต์ กับกระทรวงการต่างประเทศ ประสานกันเรื่อง State Quarantine ที่เป็นไปตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และตามประกาศ/ข้อบังคับของศบค.โดยทั้งหมดนี้ ได้นำเรียน พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. รับทราบตามสายงาน และยึดตามหลักการ ตามพันธะทางทหารที่มีต่อกัน
ขั้นตอนหลังจากนั้นตามระบบก็คือ เข้าสู่เขตอำนาจและการดูลของผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ซึ่งมีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องดูแล จัดการ สั่งการและเฝ้าระวังพื้นที่ นั่นหมายความว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองจะต้องรับทราบ ว่ามีคณะบุคคลชุดนี้ เข้ามาอยู่ในโรงแรมที่เป็น State Quarantine ของจังหวัดตนเองแล้ว
หลังจากนั้น จังหวัดมีหน้าที่ติดตาม กำชับ การอยู่ในโรงแรมของพวกเขา ว่าปฏิบัติไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ การที่บุคคลเหล่านี้ออกจากโรงแรมไปเดินห้าง และอื่นๆ ได้ อาจเนื่องมาจาก
- ไม่มีระบบการติดตามตัวที่แม่นยำ
- หละหลวมในการปล่อยให้พวกเขาเข้าออกห้องพักและไปยังสถานที่ต่างๆ
จึงควรเป็นความผิดของโรงแรมด้วย และเป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงส่วนการย้ายผู้ว่าฯ ระยองนั้น ประจวบเหมาะเป็นวงรอบของการย้ายพอดี ทำให้สื่อและประชาชนเข้าใจผิดว่า ถูกย้ายเพราะเรื่องนี้ จึงไปพาดหัวข่าวว่า“เด้ง” !!
ในกรณีนี้ ไม่ทราบว่าจะสามารถเอาผิดทางการอียิปต์หรือตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ฝ่าฝืนการกักตัวได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ ศบค. จะต้องดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณี “ลูกอุปทูต” นั้น ที่คอนโดมิเนียม One X ซอยสุขุมวิท 26 นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วยนายชวินทร์ ศิรินาค ผอ.สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของคอนโดฯ ในกรณีที่มีครอบครัวคณะทูตซูดาน รวม 5 คน เดินทางเข้าพัก โดยมี 1 ในสมาชิกครอบครัว คือ ลูกสาวอายุ 9 ขวบ มีผลการตรวจยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และขณะนี้อยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง และครอบครัวคณะทูตได้ถูกส่งเข้าพักในสถานกักกันโรคฯ แล้ว
นายชวินทร์กล่าวว่า จากการรับรายงาน พบว่า ครอบครัวคณะทูต 5 คน เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.00 น. โดยผู้ป่วยติดเชื้ออายุ 9 ขวบนั้น มีการตรวจหาเชื้อด้วยการคัดกรองโรคที่ด่านตรวจสนามบินสุวรรณภูมิ ผลเป็นบวก แต่ทางครอบครัวจำนวน 5 คนรวมผู้ป่วย ได้กลับมาพักที่คอนโดฯ แห่งนี้ ที่ซึ่งเป็นสถานพำนักชั่วคราว และในวันเดียวกันนั้น เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ได้เข้ารับตรวจหาเชื้อใน รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง และผลยืนยันอีกครั้งว่า มีการติดเชื้อจริง จึงทำการเข้ารักษาที่ รพ.ทันทีด้วยอาการปอดอักเสบ โดยขณะนี้ถูกส่งตัวไปยัง รพ.ของรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“...การตรวจคัดกรองที่สนามบิน มีผลเป็นบวก แต่ด้วยระบบสิทธิทางการทูต มีข้อยกเว้นว่าให้เข้ากักกันในพื้นที่ของสถานทูตเอง แต่ช่วงนั้นอาจจะมีความแออัด จึงได้เข้ามาพักที่คอนโดฯ แห่งนี้ก่อน หลังจากนั้นได้ส่งตรวจที่ รพ. เพื่อเข้ารับการตรวจยืนยันอีกครั้ง โดยหลังจากนั้นทางครอบครัวที่เหลืออีก 4 คน ไม่มีอาการป่วย และสุขภาพแข็งแรงดี ได้กลับเข้ามาพักในคอนโดฯ อีก 2 คืน แต่ในขณะนี้ได้ถูกส่งตัวไปกักกันโรคแล้วตามระบบ และผู้ป่วยอาการดีขึ้นแล้ว...” นายชวินทร์ กล่าว
นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องของมาตรการป้องกันควบคุมโรคของคอนโดฯ แห่งนี้ มีความรัดกุม เช่น มีการคัดกรองอุณหภูมิร่างกายของผู้เข้า-ออกพื้นที่ ทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ จึงสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง ในวันนี้ทางทีมควบคุมโรค จึงมาเพื่อสอบสวนโรค ค้นหาผู้เสี่ยงที่จะสัมผัส เช่น แม่บ้านทำความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย รวมถึงการใช้รถตรวจหาเชื้อพระราชทานเข้ามาเพื่อตรวจหาเชื้อให้แก่ผู้พักอาศัยในคอนโดฯ ทุกคน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบครอบครัวของคณะทูตที่เข้าพักในคอนโดฯ พบว่าแทบไม่ได้เดินทางออกไปที่ใด และโอกาสที่ผู้อื่นจะมาสัมผัสมีน้อยมาก
เมื่อถามว่าเมื่อตรวจเจอเชื้อตั้งแต่ที่สนามบินทำไมจึงปล่อยให้ผู้ป่วยเดินทางกลับมาพักอาศัยตามที่พำนักได้ นพ.ปรีชากล่าวว่า ตามสิทธิทางการทูต จะอนุญาตให้คณะทูตกลับไปพักในสถานทูตก่อนที่จะส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ แต่ในกรณีนี้ทางทีมควบคุมโรคไม่ทราบมาก่อนว่าสถานที่พำนักเป็นคอนโดมิเนียม หรือ เรสซิเด้นท์
เมื่อถามว่าการให้สิทธิทางการทูตอนุญาตให้มีการกลับเข้ามาพักอาศัยในสถานพำนัก ทั้งที่มีการตรวจยืนยันจากสนามบินแล้วว่ามีการติดเชื้อ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ นายชวินทร์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นช่องว่างที่เป็นบทเรียนที่ให้ ศบค. และนักวิชาการทั้งหลาย ช่วยระดมสมองกัน สร้างมาตรการที่เข้มข้นและรัดกุมมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่าตามข้อกำหนดของ ศบค.ระบุว่าชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกมา เข้าควบคุมและติดตามคณะเดินทาง ในกรณีนี้มีผู้ติดตามหรือไม่ นพ.ปรีชากล่าวว่า เนื่องจากคณะทูตนี้เป็นการเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจตามปกติและไม่ได้เป็นแขกของรัฐบาลจึงไม่ได้มีคณะผู้ติดตาม ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการนำไปทบทวนและปรับปรุงแก้ไขระบบต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและให้มาตรการควบคุมโรคมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น.
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เผยมติที่ประชุม ศปก.ศบค. ระบุว่า
1.ศบค.จะดำเนินการทบทวนการผ่อนคลายมาตรการกักกันของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดา มารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว โดยจะให้กระทรวงต่างประเทศทบทวนผู้ที่เป็นนักการทูตที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องเข้าสู่ State Quarantine กักตัวเป็นเวลา 14 วัน
2.ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศอียิปต์ที่ได้อนุญาตไปแล้วจำนวน 8 เที่ยวบิน (17-20 และ 25-29 ก.ค.2563)
3.ให้ชะลอการอนุญาตการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรแบบผ่อนคลาย มาตรการ State Quarantine ตามข้อกำหนดฉบับที่ 12 (2), (3), (11) ไปก่อน และมีการทบทวนมาตรการควบคุมให้มีความรัดกุมรอบคอบ จึงให้มีการดำเนินการต่อไป โดยในกลุ่มคณะทูต หรือนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในระยะสั้น ก็ต้องรอไปก่อนเพื่อทบทวนมาตรการทั้งหมดภายในประเทศ ก่อนที่จะรับต่างชาติ
ครั้งนี้นับว่าเป็น “บทเรียนราคาแพง” ของ ศบค. กัดกร่อน “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ที่คนไทยเคยมีให้และล้วนอยู่กับความกังวลใจ ว่าการระบาดระลอกที่สองจะเกิดขึ้นหรือเปล่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี